TAWEELAP ROCK 70'

Custom Search

TAWEELAP ROCK RADIO

สวัดดีชาวร็อคทุกท่านครับ

หลังจากบอร์ดพังเป็นครั้งที่เท่าไหร่จำไม่ได้เหมือนกัน ผมกลับมาทำอีกครั้งเพราะใจรักจริงๆจุดประสงค์ที่ทำเว็บนี้ขึ้นมาไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรแอบแฝง เพียงเพื่ออยากแลกเปลี่ยนเพลงกันระหว่างสมาชิกเท่านั้นและอยากแบ่งปันประสบการณ์เพลงในยุคเก่าๆเพื่อไม่ให้เพลงเหล่านี้สูญหายไปจากความทรงจำ บางอัลบั้มก็หาซื้อไม่ได้แล้วและบางอันก็ไม่มีจำหน่ายหรือบางทีราคาก็แพงจนรับไม่ได้ เพลงเหล่านี้มีคุณค่าในตัวมันเองมากมายครับ
ในยุค 60 - 70 วงดนตรีมีมากมายนับไม่ถ้วนแต่ละวงมีเอกลักษ์ของตัวเองชัดเจนมาก เล่นมาจากอารมณ์ข้างในมันสะท้อนอะไรได้หลายอย่างไม่ว่าจะเป็นการดำเนินชีวิตหรือไปจนถึงเรืองยาเสพติด
วงดนตรีสมัยนั้นเกือบ 100% พึ่งยาเสพติดในการแต่งเพลงถึงมันจะเป็นด้านลบแต่ด้านบวกมันได้สร้างสรรญผลงานอันทรงคุณค่าและเป็นเป็นอมตะจนถึงปัจจุบันนี้ครับ
ส่วนของหน้าเว็บผมจะโพสเฉพาะบิทเรท 128-256 เท่านั้น ส่วนแบบ 320 KB จะมีในส่วนของเว็บบอร์ด 320 KB ซึ่งท่านต้องสมัครสมาชิกก่อนถึงจะเข้าห้องได้นะครับ ผมหวังว่าที่แห่งนี้จะอยู่เป็นเพื่อนท่านอีกแห่งนึงนะครับ taweelap ..................... Rock Never Die

History of Rock...!!!

นับตั้งแต่ Bill Haley & His Comets ออกซิงเกิลที่มีชื่อว่า Rock around the clock ในปี 1954 นั้น บทเพลงแนวใหม่ก็ถือกำเนิดขึ้นมาในวินาทีนั้นเอง กระแสของดนตรีแนวใหม่เปรียบเสมือนระเบิดลูกใหญ่ที่ทำลายวัฒนธรรมของ Jazz, Blues รวมไปถึงงานดนตรีที่บรรดาพ่อแม่ของเด็กหนุ่มสาวในยุค 50 จนพินาศสิ้น หลังจากนั้นไม่นานก็มีบุคคลอีกคนหนึ่งซึ่งน่าจะถือว่าเป็นผู้ฝังรากของดนตรีแนวใหม่ให้ก่อเกิดขึ้น นั่นก็คือ Alan Freed "Father of Rock 'n Roll" ชายคนนี้คือใคร...? ชายคนนี้คือผู้ให้กำเนิดคำว่า Rock 'n Roll นั่นเอง และชายคนนี้ก็เป็นดีเจที่เปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมของดนตรี Mainstream ในยุค 50 จนหมดสิ้น คือรายการวิทยุในยุคนั้นไม่มีการนำเพลงของคนดำมาออกอากาศ แต่ Alan ก็นำบทเพลงของคนดำซึ่งกำลังได้รับความนิยมมาออกอากาศสู้กับ Frank Sinatra ของพวกรุ่นใหญ่ได้อย่างเมามันส์... Little Richard, Jerry Lee Luis, Chuck Berry นั่นเอง หลังจากนั้นไม่นาน ชายหนุ่มจากเมมฟิสอีกคนก็ทำให้ดนตรี Rock 'n Roll ขึ้นสูงจนถึงจุดสุดยอด ชายหนุ่มคนนี้มีลีลาที่ไม่เหมือนใคร บทเพลงที่ไพเราะและรูปร่างหน้าตาสุดหล่อ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก "The King" Elvis Presley นั่นเอง (อย่าด่า Elvis ต่อหน้าพ่อแม่ตัวเอง เพราะอาจโดนตบได้) หลังจากที่ Elvis โด่งดังจนถึงขีดสุด ซิงเกิลฮิตอันมากมายมหาศาลเพียงไรก็ตาม มันก็ถึงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง... ... ในต้นยุค 60 ก็มีวงดนตรีอีกวงหนึ่งที่มีความนิยมไม่แพ้ Elvis เลยนั่นก็คือเด็กหนุ่มจากเมือง Liverpool ใครวะ...? บางคนอาจจะถาม เด็กหนุ่มหน้าตาดีกลุ่มนี้ก็คือ The Beatles นั่นเอง The Beatles ได้สร้างปรากฏการณ์ทางดนตรี Rock อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน บทเพลงหลากหลายของ The Beatles นั้นขึ้นอันดับหนึ่งอย่างรวดเร็ว และเป็ศิลปินที่มีซิงเกิลขึ้นอันดับหนึ่งมากที่สุดในโลก ความนิยมของ The Beatles ในตอนต้นยุค 60 นั้นก็ทำให้มีวงดนตรีอีกวงหนึ่งที่ถือว่าเป็นด้านมืดของ The Beatles ก็ว่าได้ ภาพของ The Beatles คือดนตรีแห่งสวรรค์ แต่บทเพลงของวงดนตรีอีกวงนั้นก็เป็นด้านนรกไปเลย ภาพลักษณ์อันตรงกันข้ามกับ The Beatles นั้นก็สร้างชื่อเสียงให้กับพวกเค้ามาจนถึงปัจจุบัน The Rolling Stones นั่นเอง... ในช่วงยุค 60 นั้นวงดนตรีจากฝั่งอังกฤษเข้าบุกถล่มแผ่นดินอเมริกาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็เป็นสูตรสำเร็จของดนตรี ถ้าจะพิสูจน์ตัวเอง ต้องไปดังที่อเมริกาให้ได้ กาลเวลาก็เดินไปเรื่อยๆ จนถึงยุคสงครามเวียดนามระเบิดขึ้น การเรียกร้องสันติภาพ เสรีภาพระบาดรุนแรงไปทั่ว... วงการดนตรีค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ดังบทเพลง The time they are a changin' ของ Bob Dylan ในช่วงปลายๆ ยุค 60 ก็มีการเล่นดนตรีผสมกับยาเสพติดขึ้น... Psychedelic คือคำเรียกของดนตรีแนวนี้... (ซึ่งก็จะรวมไปถึง Progressive, Acid และแนวดนตรีที่มีกลิ่นอายใกล้เคียงกัน) แนวทางของดนตรีในช่วงปลายยุค 60 นั้นสร้างปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "ดนตรีลูกผสม" หรือดนตรีแนวทดลองขึ้นมาอย่างกว้างขวาง... หลากหลายบทเพลงมีการนำดนตรีมาผสมกับยาเสพติดกันอย่างรุนแรง... The Doors, The Grateful Dead, King Crimson ซึ่งก็รวมไปถึง Sgt. Pepper's Lonely Hearts Club Band ของ The Beatles ที่หันเหไปทางดนตรีแนว Psychedelic อย่างชัดเจน ซึ่งมันก็ทำให้ดนตรี Rock ในยุคปัจจุบันมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดกับชายผู้หนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นนักกีตาร์อันดับหนึ่งตลอดกาล... Jimi Hendrix & The Experience นั่นเอง เสียงที่ Jimi Hendrix สร้างขึ้นมาทำให้เค้ากลายเป็นเทพเจ้าในชั่วข้ามคืน หลายบทเพลงของ Hendrix สร้างแรงบรรดาลใจให้กับนักดนตรี Rock ในยุคต่อมาอย่างรุนแรง... ... เข้าสู่ยุค 1970 กันเสียที... หลังจากการเสียชีวิตอย่างกระทันหันของ Hendrix ไปนั้น ดนตรี Rock ก็ยังไม่ถึงกาลดับสูญ... Black Sabbath ได้นำเสียงแตกสั่นและหนักแน่นเข้ามากระแทกหูคนฟังบทพื้นพิภพนี้ เสียงที่ Black Sabbath สร้างออกมานั้นก็สร้างแรงบรรดาลใจให้กับนักดนตรี Rock สาย Thrash Metal, Death Metal และ Black Metal ในยุคหลังๆ ไม่มีใครปฏิเสธความยิ่งใหญ่ของ Black Sabbath ได้ (นอกจากเกรียน) ยังไม่พอ... Deep Purple ก็สร้างตำนานให้กับตัวเองด้วยเพลง Smoke on the water ที่เป็นท่อน Riff อมตะอีกบทเพลง รวมไปถึงการโซโลกีตาร์และคีย์บอร์ดอันรวดเร็วและเมามันส์ของพวกเค้าก็เป็นพื้นฐานให้ดนตรีในยุคหลังๆ ได้เป็นอย่างดี... นี่เราต้องพูดถึงวงดนตรีอีกวงหนึ่งที่ถือว่าขึ้นหิ้งอันไม่สามารถลบหลู่ได้อีกวง... Led Zeppelin นั่นเอง... บทเพลงที่ Zep สร้างขึ้นมานั้นรวมไปถึงเทคนิคกีตาร์ที่ Jimmy Page สร้างขึ้นมาก็เป็นแรงบรรดาลใจให้กับนักดนตรี Rock ในยุคหลังๆ ได้เป็นอย่างดี ไม่ต้องคิดอะไร ฟังแค่ Stairway to heaven ที่ถือว่าเป็นบทเพลงชาวเมทัลทั้งหลายทั้งปวง... มันยังไม่จบหรอกนะ Michael Schenker ก็สร้างเสียงกีตาร์ของตัวเองออกมาบ้าง Rock Bottom นั้นเปรียบเสมือนระเบิดที่ทำให้วงการดนตรี Rock เปลี่ยนไป... ขอข้ามแนวจาก Hard Rock มายังอีกแนวเพลงนึงที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง นั่นก็คือบทเพลงที่พัฒนามาจากแนว Psychedelic นั่นก็คือ Progressive Rock นั่นแหละ... ความซับซ้อนทางดนตรี รวมไปถึงความเป็นอัจฉริยะของนักดนตรีที่สร้างบทเพลงแห่งความล่องลอยและตำนานการติดบิลบอร์ดอันยาวนานของ Dark Side of The Moon โดยศิลปิน Pink Floyd นั้นยังหาใครมาทาบรัศมีได้เลย... ยังมีผู้ใดที่เคลือบแคลงความยิ่งใหญ่ของพวกเค้าอีกไหมถ้ารู้ว่าเค้าสามารถขายงานได้ 250 ล้านแผ่นทั่วโลกเนี่ย...? ดนตรีในยุค 70 ก็มีความหลายหลายและมนต์เสน่ห์เพียงไรถ้าเราได้ฟังงานสุดคลาสสิคของ The Eagles ที่นำเสียงของ Hard Rock เข้ามาผสมกับ Southern Rock กันอย่างลงตัวกับบทเพลง Hotel California ซึ่งก็รวมไปถึงมหากาพย์ของดนตรีอย่างเพลง Freebirds ของ Lynyrd Skynyrd...!!! ยังไม่จบ... ดนตรีที่เรียกกันว่าหัวก้าวหน้าในยุค 70 นั้นเราจะลืม "ราชันต์ในนามราชินี" Queen กับบทเพลง Bohemian Rhapsody ได้เหรอ...? ย้อนเวลาไปช่วงต้นๆ 70 กันอีกครั้งนะ Neil Young & The Crazy Horse, Iggy Pop & The Stooges, New York Dolls และ MC5 ก็สร้างบทเพลงแห่งความก้าวร้าวรุนแรงขึ้นมาบ้าง ซึ่งมันก็เหมือนระเบิดเวลาที่รอวันระเบิด... และมันก็ระเบิดออกมาในช่วงปลายๆ ยุค 70 กับวงดนตรี Sex Pistols (และอีกหลายๆ วง) นั่นก็คือแนวดนตรีที่เรียกว่า Punk นั่นเอง แนวดนตรี Punk นั้นสร้างความนิยมอย่างรุนแรงส่งผลกระทบต่อ Hard Rock อย่างมาก จนทำให้แนวดนตรี Hard Rock แทบจะสูญสลายไปเลย แต่มันก็ยังไม่ตายเสียทีเดียวหรอกนะ ดนตรีที่กำเนิดขึ้นมาในช่วงปลายๆ ยุค 70 นั่นก็คือ New Wave of British Heavy Metal นั่นเอง...!!! ... ช่วงรอยต่อของยุค 70 กับ 80 นั้นงานดนตรีมีการฑัฒนาไปอย่างรวดเร็ว วงดนตรีที่เรียกตัวเองว่าเป็น NWOBHM ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว จนทำให้ดนตรี Punk กลายพันธ์ไป (จะกล่าวถึงภายหลัง) หัวหอกของดนตรีแนว NWOBHM ก็มีเช่น Iron Maiden, Judas Priest, Motor Head, Diamond Head, Def Leppard และถ้าเราไม่นับชายคนนี้ก็ไม่ได้ Ozzy Osbourne ชายผู้ที่ยืนอยู่บนยอดสุดของพีรามิดแห่ง Metal นั่นเอง หลากหลายบทเพลงที่ Ozzy Osbourne Band สร้างขึ้นมาสร้างความสั่นสะเทือนให้กับดนตรี Rock เป็นอย่างสูง ซึ่งผนวกกับนักกีตาร์โนเนมแต่ฝีมือระดับเทพอย่าง Randy Rhodes ทำให้นักกีตาร์หลายคนในยุคต่อมาหันมาหลงไหลกับมนต์เสน่ห์ของเค้ากันอย่างถอนตัวไม่ขึ้น... เราข้ามไปที่ฝั่งอเมริกากันบ้างนะ... นักกีตาร์ระดับเทพอีกคนก็สร้างความสั่นสะเทือนวงการกับเทคนิกกีตาร์อันแพรวพราว รวมไปถึงการเอนเตอร์เทนคนดู Van Halen นั่นเอง คงไม่จำเป็นที่จะต้องสาธยายความสุดยอดของพวกเขานะ... ดนตรีในต้นยุค 80 นั่นมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว มีแนวดนตรีเกิดใหม่มากมาย Metallica, Megadeth, Anthrax, Exodus คือพวกแรกๆ ที่นำความหนักหน่วงของ Black Sabbath มาผสมความมันส์สะเด่าของดนตรี Punk และกลิ่นอายอันฉุนกึ้กของ NWOBHM กันจนเกิดแนวดนตรีที่เรียกว่า Thrash Metal นั่นเอง... หลังจากนั้นไม่นาน แนวดนตรี (หลัก) ก็ถือกำเนิดตามมาหลังจาก Thrash Metal นั่นก็คือ Death Metal และ Black Metal นั่นเอง แต่ความรุนแรงในยุค 80 ก็มีอีกแนวดนตรีอีกแนวที่มีความสนุกสนานและหญิงตรึมอย่าง Glam Metal หรือที่เรารู้จักกันดีกับ Hair Metal นั่นเอง Bon Jovi, Skid Row, Cinderella และอีกหลายร้อยวงที่สร้างแฟนเพลงให้กับตนเองอย่างมากมาย ซึ่งก็รวมไปถึง Guns N' Roses นั่นแหละ... ความนิยมของดนตรีแนว Heavy Metal นั้นสุดสะเด่าไปเลย จวบจนถึงช่วงปลายยุค 80 ที่มีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่นิยมชมชอบความรุนแรง ความบ้าระห่ำของการเล่น รวมไปถึงเสียงอันแตกสนั่นที่มาจากความเรียบง่ายของ Neil Young (ไม่เชื่อก็ไปหาวิดิโอการแสงสดของ Neil Young มาดูแล้วจะรู้ว่าป๋า Neil นั้นเล่นกีตาร์ได้รุนแรงและทำร้ายกีตาร์ขนาดไหนเอาเองเด้อ) นั่นก็คือเหล่าบรรดาเด็กหนุ่มจาก Seattle นั่นเอง Nirvana คือวงดนตรีที่ได้รับคามนิยมอย่างรวดเร็วและรุนแรง การเล่นกีตาร์เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากเทคนิกอันแพรวพราวเหนือชั้นแบบ Steve Vai หายไป กลิ่นอายของดนตรีที่เรียกตัวเองว่า Seattle Sound หรือ Grunge หรืออะไรต่อมิอะไรมากมาย (มันจะสร้างแนวกันทำไมเยอะแยะวะ จำไม่ไหววุ้ย) ทำให้ดนตรีในยุคปลาย 80 นั้นเปลี่ยนไป... ... ดนตรีในยุค 90 นั้นถือว่าเป็นยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย งาน Ten ของ Pearl Jam, Nevermind ของ Nirvana, Use Your Illusion I และ II ของ Guns N' Roses, Metallica (Black Album) ของ Metallica คือตัวอย่างที่น่าจะชัดเจน ซึ่งในยุค 90 นี้เองวงดนตรีที่กำเนิดมานั้นต่างยอมรับว่าตนเองนั้นได้รับแรงบรรดาลใจมาจากรุ่นพี่ รุ่นพ่อในอดีตกันแทบทั้งนั้น มันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า ถ้าไม่เชื่อก็ลองไปหางานของพวกเขามาฟังกันดีๆ จะได้กลิ่นอายของดนตรีในยุคก่อนหน้ากันทั้งนั้น บางวงอาจได้กลิ่นของหลายๆ วงเสียด้วยซ้ำไป... ฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจไปถ้าบางวงอาจจะนำเสียงใหม่ๆ เข้ามาสู่ตัวเองและไม่อายที่จะทำถ้ามันทำให้เสียงของตัวเองมีความหลากหลาย อย่างเช่นแนวดนตรี Power Metal, Grindcore, Hardcore, Melodic Metal, Brutal Death Metal, Doom Metal, ฯลฯ ปฏิเสธกันได้ไหมว่าดนตรีที่เกิดมาในยุคหลังๆ นี้ไม่มีการนำเสียงจากอดีตมาทำให้เข้ากับยุคสมัย...? ฉะนั้นแล้วการแบ่งแยกแนวดนตรีน่าจะเป็นเรื่องที่ทำได้ เพื่อการฟัง แต่การดูถูกแนวดนตรีที่เราไม่ได้ฟังนั้นเป็นเรื่องตลกมากกว่า ไม่มีดนตรีแนวไหนทำออกมาห่วยหรือดีเลิศประเสริฐศรี ของเหล่านี้แบ่งแยกได้อย่างเดียวคือชอบฟังกับไม่ชอบฟังแค่นั้นเอง ชอบก็ฟังไป ไม่ชอบก็ไม่ต้องฟัง ทำไมต้องดูถูกแนวดนตรีแนวอื่นด้วย ทั้งๆ ที่รากฐานของดนตรีในยุคปัจจุบันนี้ต่างก็มาจากจุดเดียวกันทั้งนั้น ฉะนั้นเราจงมาฟังดนตรีกันอย่างมีความสุขกันเถิด ใครจะฟังเพลงเพื่อสร้างภาพให้กับตัวเองก็ช่างหัวมันประไร...!!!

วันพฤหัสบดีที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2551

Jimi Hendrix - Blues (1994)


ลองดูประวัติของเค้าโดยละเอียดครับ
หากใครที่เล่นกีตาร์หรือเป็นนักฟังชั้นเทพ คงไม่มีใครที่จะปฏิเสธว่าไม่รู้จักชายผู้นี้ เขาคือชายผู้สร้างตำนานที่ Woodstock อัจริยะผู้ที่ใคร ๆ ยกย่องว่าคืออันดับ 1 เเห่งวงการกีตาร์ ผู้ถูกร่ำลือว่าได้ขายวิญญาณให้กับซาตาน
Jimi Hendrix มีชื่อจริง ๆว่า จอห์นนี อัลเลน เฮนดริกซ์ เกิดวันที่ 27 พฤศจิกายน 1942 เป็นลูกของ Al Hendrix (อัล เฮนดริกซ์)ซึ่งในตอนเด็กพ่อของเขากำลังรับราชการทหารอยู่ ทำให้ไม่สามารถเลี้ยงดูได้ เขาจึงต้องไปอยู่ตามบ้านญาติ ๆ เมื่อเขาอายุ 5 ขวบพ่อเขาก็พาไปเลี่ยนชื่อเป็น James marshell Hendrix (เจมส์ มาร์แชลล์ เฮนดริกซ์) ในวันที่ 11 กันยายน 1946 แต่เขากลับชอบเรียกตัวเองว่า “จิมมี่” เขาเริ่มฟังเพลงตามแผ่นเสียงที่พ่อของเขาสะสม และเริ่มเล่นกีตาร์คูสติค ( Acoustic Guitar)เมื่ออายุ 10 ขวบเมื่อย่างเข้าวัยรุ่น พ่อของเขาตัดสินใจขาย Saxsophone ของเขาเพื่อนำเงินไปซื้อกีตาร์ไฟฟ้า Supro Ozark สีขาว ตัวหนึ่งเป็นของขวัญ เขาเริ่มศึกษางานของเหล่ามือกีตาร์ Bluse เช่น B.B.King , Muddy Waters ต่อมาได้ไปเล่น Back up ในตำแหน่งกีตาร์ให้กับศิลปินหลายท่าน เช่น Ting Turner , Little Richard และ B.B.Kingจนเมื่อปี 1959 เขาจึงตั้งวงดนตรีแรกของเขาขึ้น โดยใช้ชื่อว่า Rocking Kings จากนั้นเขาก็ไปเป็นทหารพลร่ม จนเมื่อปี 1961 ได้ลาออกจากราชการทหาร และหันมาทุ่มเทเวลาให้ดนตรีอย่างจริงจังและได้ออกเดินทางเล่นดนตรีไปทั่วสหรัฐฯในปี 1965 เขาได้ตั้งวงใหม่ของเขาขึ้นโดยใช้ชื่อว่า Jimmy James And The Blues Flames ในวันที่ 5 กรกฎาคม 1966 วงดนตรีของเขาได้เดินทางไปเล่นยังร้านค้าแห่งหนึ่งในนิวยอร์ก เขาได้เจอกับ ชาส แชนเลอร์ สมาชิกวง The Animals เชนเลอร์ประทับใจการเล่นกีตาร์ของเขามาก แชนเลอร์เดินทางไปอังกฤษกับ Hendrix จนในเดือนตุลาคมปี 1966 ได้มีการคัดเลือกเอา Noel Redding(โนเอล เรดดิง)มาเล่นเบส และMitch Mitchell(มิตช์ มิตเชล มาเล่นกลอง) และก็กลายมาเป็นวง The Jimi Hendrix Experience พร้อมกับออกอัลบัมแรกกับสังกัด Polydor ชื่อ Are You Experienced? มาในช่วงปลายเดือน ธันวาคม 1967 อัลบัมชุดนี้ก็กลายเป็นอัลบัมในตำนานไปแล้ว ในวันที่ 18 มิถุนายน 1967 เขาเดินทางกลับสหรัฐฯ และได้ไปแสดงที่เทศกาลดนตรี Monterey International Pop Festival หลังจากวันนั้นชื่อ Jimi Hendrix ก็ได้โดงดังไปทั่วและเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง ในเดือนมกราคมปีต่อมา ก็ได้ออกอัลบัมชุดที่ 2 ชื่อ Axis:Bold As Love และออกอัลบัมชุดที่ 3 ในเดือนตุลาคมปี 1968 โดยใช้ชื่อว่า Electric Ladyland ในชุดนี้มี 2 แบบคือ 1.แบบ Censored 2.แบบ Uncensoredหลังจากนั้นประมาณ 1 ปีวง The Jimi Hendrix Experience ได้ปิดตัวลงหลังจากการเล่นคอนเสิร์ตร่วมกันครั้งสุดท้ายที่ไมล์ไฮสเตเดียม ที่แดนเวอร์ เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 1969แต่ในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน (1969)เขาก่อตั้งวงดนตรีขึ้นมาใหม่อีกครั้งในชื่อ Gypsys Suns and Rainbows เพื่อเล่นในเทศกาลดนตรี Woodstock Music and Art Fairอย่างไรก็ตาม วงดนตรีนี้ถูกยุบไปอย่างรวดเร็วในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน ซึ่งหลังจากยุบวงแล้ว จิมมีพร้อมกับเพื่อนสมัยเป็นทหารที่ชื่อ บิลลี ค็อกซ์ ได้ตั้งวงดนตรีขึ้นมาใหม่อีกครั้งในชื่อ The Band of Gypsys โดยบิลลีรับหน้าที่เป็นมือเบส แต่วง The Band of Gypsys ก็ได้เล่นคอนเสิร์ตร่วมกันเพียงแค่ 5 ครั้งเท่านั้นก่อนจะยุบวงไปการแสดงครั้งสุดท้ายของพวกเขาก็คือ การแสดงที่เมดิสันสแควร์การ์เดน ในนครนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 28 มกราคม 1970 อัลบั้มบันทึกการแสดงคอนเสิร์ตครั้งนั้นออกตามมาในเดือนเมษายน พร้อมกับได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์ โดยยกให้เป็นหนึ่งในอัลบั้มบันทึกการแสดงที่ดีที่สุดตลอดกาลหลังจากยุบวง The Band of Gypsys แล้ว จิมมี เฮนดริกซ์จึงหันไปเปิดสตูดิโอบันทึกเสียงของตัวเขาเองที่ชื่อ Electric Lady Studios ในนครนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 1970 ต่อจากนั้นเพียงไม่กี่สัปดาห์ จิมมีเดินทางไปยังกรุงลอนดอนและในวันที่ 17 กันยายน เขาได้แต่งเพลงสุดท้ายในชีวิตของเขาขึ้น คือเพลง “The Story of Life” ในตอนบ่ายของวันรุ่งขึ้น ทั่วโลกต้องตกตะลึงหลังทราบข่าวการเสียชีวิตของราชากีตาร์ จิมมี เฮนดริกซ์ มีการกล่าวถึงสาเหตุการตายของเขาว่าเกิดจากการสำลักอาเจียนของตัวเอง หลังจากที่กินยานอนหลับขนาดแรงเข้าไปถึง 9 เม็ดร่างไร้วิญญาณของเจ้าของตำนานเพลงร็อกผู้นี้ถูกนำกลับมายังบ้านเกิด โดยฝังไว้ที่สุสานกรีนวูด เมมโมเรียล ปาร์ก เมืองเรนตัน มลรัฐวอชิงตันจากวันนั้นจนถึงวันนี้ จิมมี เฮนดริกซ์ ยังคงได้รับการยอมรับว่าเป็นมือกีตาร์ที่ดีที่สุดในโลกเท่าที่เคยมีมาหลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า เขารู้จักกับ Eric Clapton ราชากีตาร์คนที่แล้วด้วย Eric ยังเคยที่จะให้จิมมี่สอนเล่นกีตาร์คอด้านขวา(ปกติเลนกันคอด้านซ้าย)เพราะจิมมี่เป็นคนถนัดซ้าย(แต่ถึงยังไงจิมมี่ก็เล่นได้ทั้ง คอด้านซ้ายและขวา แถมยังเลนแบบคอคู่ได้ด้วย) แต่จิมมี่ยังไม่ทันได้สอน Eric เลย เขากลับเสียชีวิตไปก่อนซะงั้น
1- Hear My Train A Comin' (Acoustic)2- Born Under A Bad Sign3- Red House4- Catfish Blues5- Voodoo Chile Blues6- Mannish Boy7- Once I Had A Woman8- Bleeding Heart9- Jelly 29210- Electric Church Red House11- Hear My Train A Comin' (Electric)

ไม่มีความคิดเห็น: