TAWEELAP ROCK 70'

Custom Search

TAWEELAP ROCK RADIO

สวัดดีชาวร็อคทุกท่านครับ

หลังจากบอร์ดพังเป็นครั้งที่เท่าไหร่จำไม่ได้เหมือนกัน ผมกลับมาทำอีกครั้งเพราะใจรักจริงๆจุดประสงค์ที่ทำเว็บนี้ขึ้นมาไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรแอบแฝง เพียงเพื่ออยากแลกเปลี่ยนเพลงกันระหว่างสมาชิกเท่านั้นและอยากแบ่งปันประสบการณ์เพลงในยุคเก่าๆเพื่อไม่ให้เพลงเหล่านี้สูญหายไปจากความทรงจำ บางอัลบั้มก็หาซื้อไม่ได้แล้วและบางอันก็ไม่มีจำหน่ายหรือบางทีราคาก็แพงจนรับไม่ได้ เพลงเหล่านี้มีคุณค่าในตัวมันเองมากมายครับ
ในยุค 60 - 70 วงดนตรีมีมากมายนับไม่ถ้วนแต่ละวงมีเอกลักษ์ของตัวเองชัดเจนมาก เล่นมาจากอารมณ์ข้างในมันสะท้อนอะไรได้หลายอย่างไม่ว่าจะเป็นการดำเนินชีวิตหรือไปจนถึงเรืองยาเสพติด
วงดนตรีสมัยนั้นเกือบ 100% พึ่งยาเสพติดในการแต่งเพลงถึงมันจะเป็นด้านลบแต่ด้านบวกมันได้สร้างสรรญผลงานอันทรงคุณค่าและเป็นเป็นอมตะจนถึงปัจจุบันนี้ครับ
ส่วนของหน้าเว็บผมจะโพสเฉพาะบิทเรท 128-256 เท่านั้น ส่วนแบบ 320 KB จะมีในส่วนของเว็บบอร์ด 320 KB ซึ่งท่านต้องสมัครสมาชิกก่อนถึงจะเข้าห้องได้นะครับ ผมหวังว่าที่แห่งนี้จะอยู่เป็นเพื่อนท่านอีกแห่งนึงนะครับ taweelap ..................... Rock Never Die

History of Rock...!!!

นับตั้งแต่ Bill Haley & His Comets ออกซิงเกิลที่มีชื่อว่า Rock around the clock ในปี 1954 นั้น บทเพลงแนวใหม่ก็ถือกำเนิดขึ้นมาในวินาทีนั้นเอง กระแสของดนตรีแนวใหม่เปรียบเสมือนระเบิดลูกใหญ่ที่ทำลายวัฒนธรรมของ Jazz, Blues รวมไปถึงงานดนตรีที่บรรดาพ่อแม่ของเด็กหนุ่มสาวในยุค 50 จนพินาศสิ้น หลังจากนั้นไม่นานก็มีบุคคลอีกคนหนึ่งซึ่งน่าจะถือว่าเป็นผู้ฝังรากของดนตรีแนวใหม่ให้ก่อเกิดขึ้น นั่นก็คือ Alan Freed "Father of Rock 'n Roll" ชายคนนี้คือใคร...? ชายคนนี้คือผู้ให้กำเนิดคำว่า Rock 'n Roll นั่นเอง และชายคนนี้ก็เป็นดีเจที่เปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมของดนตรี Mainstream ในยุค 50 จนหมดสิ้น คือรายการวิทยุในยุคนั้นไม่มีการนำเพลงของคนดำมาออกอากาศ แต่ Alan ก็นำบทเพลงของคนดำซึ่งกำลังได้รับความนิยมมาออกอากาศสู้กับ Frank Sinatra ของพวกรุ่นใหญ่ได้อย่างเมามันส์... Little Richard, Jerry Lee Luis, Chuck Berry นั่นเอง หลังจากนั้นไม่นาน ชายหนุ่มจากเมมฟิสอีกคนก็ทำให้ดนตรี Rock 'n Roll ขึ้นสูงจนถึงจุดสุดยอด ชายหนุ่มคนนี้มีลีลาที่ไม่เหมือนใคร บทเพลงที่ไพเราะและรูปร่างหน้าตาสุดหล่อ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก "The King" Elvis Presley นั่นเอง (อย่าด่า Elvis ต่อหน้าพ่อแม่ตัวเอง เพราะอาจโดนตบได้) หลังจากที่ Elvis โด่งดังจนถึงขีดสุด ซิงเกิลฮิตอันมากมายมหาศาลเพียงไรก็ตาม มันก็ถึงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง... ... ในต้นยุค 60 ก็มีวงดนตรีอีกวงหนึ่งที่มีความนิยมไม่แพ้ Elvis เลยนั่นก็คือเด็กหนุ่มจากเมือง Liverpool ใครวะ...? บางคนอาจจะถาม เด็กหนุ่มหน้าตาดีกลุ่มนี้ก็คือ The Beatles นั่นเอง The Beatles ได้สร้างปรากฏการณ์ทางดนตรี Rock อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน บทเพลงหลากหลายของ The Beatles นั้นขึ้นอันดับหนึ่งอย่างรวดเร็ว และเป็ศิลปินที่มีซิงเกิลขึ้นอันดับหนึ่งมากที่สุดในโลก ความนิยมของ The Beatles ในตอนต้นยุค 60 นั้นก็ทำให้มีวงดนตรีอีกวงหนึ่งที่ถือว่าเป็นด้านมืดของ The Beatles ก็ว่าได้ ภาพของ The Beatles คือดนตรีแห่งสวรรค์ แต่บทเพลงของวงดนตรีอีกวงนั้นก็เป็นด้านนรกไปเลย ภาพลักษณ์อันตรงกันข้ามกับ The Beatles นั้นก็สร้างชื่อเสียงให้กับพวกเค้ามาจนถึงปัจจุบัน The Rolling Stones นั่นเอง... ในช่วงยุค 60 นั้นวงดนตรีจากฝั่งอังกฤษเข้าบุกถล่มแผ่นดินอเมริกาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็เป็นสูตรสำเร็จของดนตรี ถ้าจะพิสูจน์ตัวเอง ต้องไปดังที่อเมริกาให้ได้ กาลเวลาก็เดินไปเรื่อยๆ จนถึงยุคสงครามเวียดนามระเบิดขึ้น การเรียกร้องสันติภาพ เสรีภาพระบาดรุนแรงไปทั่ว... วงการดนตรีค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ดังบทเพลง The time they are a changin' ของ Bob Dylan ในช่วงปลายๆ ยุค 60 ก็มีการเล่นดนตรีผสมกับยาเสพติดขึ้น... Psychedelic คือคำเรียกของดนตรีแนวนี้... (ซึ่งก็จะรวมไปถึง Progressive, Acid และแนวดนตรีที่มีกลิ่นอายใกล้เคียงกัน) แนวทางของดนตรีในช่วงปลายยุค 60 นั้นสร้างปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "ดนตรีลูกผสม" หรือดนตรีแนวทดลองขึ้นมาอย่างกว้างขวาง... หลากหลายบทเพลงมีการนำดนตรีมาผสมกับยาเสพติดกันอย่างรุนแรง... The Doors, The Grateful Dead, King Crimson ซึ่งก็รวมไปถึง Sgt. Pepper's Lonely Hearts Club Band ของ The Beatles ที่หันเหไปทางดนตรีแนว Psychedelic อย่างชัดเจน ซึ่งมันก็ทำให้ดนตรี Rock ในยุคปัจจุบันมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดกับชายผู้หนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นนักกีตาร์อันดับหนึ่งตลอดกาล... Jimi Hendrix & The Experience นั่นเอง เสียงที่ Jimi Hendrix สร้างขึ้นมาทำให้เค้ากลายเป็นเทพเจ้าในชั่วข้ามคืน หลายบทเพลงของ Hendrix สร้างแรงบรรดาลใจให้กับนักดนตรี Rock ในยุคต่อมาอย่างรุนแรง... ... เข้าสู่ยุค 1970 กันเสียที... หลังจากการเสียชีวิตอย่างกระทันหันของ Hendrix ไปนั้น ดนตรี Rock ก็ยังไม่ถึงกาลดับสูญ... Black Sabbath ได้นำเสียงแตกสั่นและหนักแน่นเข้ามากระแทกหูคนฟังบทพื้นพิภพนี้ เสียงที่ Black Sabbath สร้างออกมานั้นก็สร้างแรงบรรดาลใจให้กับนักดนตรี Rock สาย Thrash Metal, Death Metal และ Black Metal ในยุคหลังๆ ไม่มีใครปฏิเสธความยิ่งใหญ่ของ Black Sabbath ได้ (นอกจากเกรียน) ยังไม่พอ... Deep Purple ก็สร้างตำนานให้กับตัวเองด้วยเพลง Smoke on the water ที่เป็นท่อน Riff อมตะอีกบทเพลง รวมไปถึงการโซโลกีตาร์และคีย์บอร์ดอันรวดเร็วและเมามันส์ของพวกเค้าก็เป็นพื้นฐานให้ดนตรีในยุคหลังๆ ได้เป็นอย่างดี... นี่เราต้องพูดถึงวงดนตรีอีกวงหนึ่งที่ถือว่าขึ้นหิ้งอันไม่สามารถลบหลู่ได้อีกวง... Led Zeppelin นั่นเอง... บทเพลงที่ Zep สร้างขึ้นมานั้นรวมไปถึงเทคนิคกีตาร์ที่ Jimmy Page สร้างขึ้นมาก็เป็นแรงบรรดาลใจให้กับนักดนตรี Rock ในยุคหลังๆ ได้เป็นอย่างดี ไม่ต้องคิดอะไร ฟังแค่ Stairway to heaven ที่ถือว่าเป็นบทเพลงชาวเมทัลทั้งหลายทั้งปวง... มันยังไม่จบหรอกนะ Michael Schenker ก็สร้างเสียงกีตาร์ของตัวเองออกมาบ้าง Rock Bottom นั้นเปรียบเสมือนระเบิดที่ทำให้วงการดนตรี Rock เปลี่ยนไป... ขอข้ามแนวจาก Hard Rock มายังอีกแนวเพลงนึงที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง นั่นก็คือบทเพลงที่พัฒนามาจากแนว Psychedelic นั่นก็คือ Progressive Rock นั่นแหละ... ความซับซ้อนทางดนตรี รวมไปถึงความเป็นอัจฉริยะของนักดนตรีที่สร้างบทเพลงแห่งความล่องลอยและตำนานการติดบิลบอร์ดอันยาวนานของ Dark Side of The Moon โดยศิลปิน Pink Floyd นั้นยังหาใครมาทาบรัศมีได้เลย... ยังมีผู้ใดที่เคลือบแคลงความยิ่งใหญ่ของพวกเค้าอีกไหมถ้ารู้ว่าเค้าสามารถขายงานได้ 250 ล้านแผ่นทั่วโลกเนี่ย...? ดนตรีในยุค 70 ก็มีความหลายหลายและมนต์เสน่ห์เพียงไรถ้าเราได้ฟังงานสุดคลาสสิคของ The Eagles ที่นำเสียงของ Hard Rock เข้ามาผสมกับ Southern Rock กันอย่างลงตัวกับบทเพลง Hotel California ซึ่งก็รวมไปถึงมหากาพย์ของดนตรีอย่างเพลง Freebirds ของ Lynyrd Skynyrd...!!! ยังไม่จบ... ดนตรีที่เรียกกันว่าหัวก้าวหน้าในยุค 70 นั้นเราจะลืม "ราชันต์ในนามราชินี" Queen กับบทเพลง Bohemian Rhapsody ได้เหรอ...? ย้อนเวลาไปช่วงต้นๆ 70 กันอีกครั้งนะ Neil Young & The Crazy Horse, Iggy Pop & The Stooges, New York Dolls และ MC5 ก็สร้างบทเพลงแห่งความก้าวร้าวรุนแรงขึ้นมาบ้าง ซึ่งมันก็เหมือนระเบิดเวลาที่รอวันระเบิด... และมันก็ระเบิดออกมาในช่วงปลายๆ ยุค 70 กับวงดนตรี Sex Pistols (และอีกหลายๆ วง) นั่นก็คือแนวดนตรีที่เรียกว่า Punk นั่นเอง แนวดนตรี Punk นั้นสร้างความนิยมอย่างรุนแรงส่งผลกระทบต่อ Hard Rock อย่างมาก จนทำให้แนวดนตรี Hard Rock แทบจะสูญสลายไปเลย แต่มันก็ยังไม่ตายเสียทีเดียวหรอกนะ ดนตรีที่กำเนิดขึ้นมาในช่วงปลายๆ ยุค 70 นั่นก็คือ New Wave of British Heavy Metal นั่นเอง...!!! ... ช่วงรอยต่อของยุค 70 กับ 80 นั้นงานดนตรีมีการฑัฒนาไปอย่างรวดเร็ว วงดนตรีที่เรียกตัวเองว่าเป็น NWOBHM ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว จนทำให้ดนตรี Punk กลายพันธ์ไป (จะกล่าวถึงภายหลัง) หัวหอกของดนตรีแนว NWOBHM ก็มีเช่น Iron Maiden, Judas Priest, Motor Head, Diamond Head, Def Leppard และถ้าเราไม่นับชายคนนี้ก็ไม่ได้ Ozzy Osbourne ชายผู้ที่ยืนอยู่บนยอดสุดของพีรามิดแห่ง Metal นั่นเอง หลากหลายบทเพลงที่ Ozzy Osbourne Band สร้างขึ้นมาสร้างความสั่นสะเทือนให้กับดนตรี Rock เป็นอย่างสูง ซึ่งผนวกกับนักกีตาร์โนเนมแต่ฝีมือระดับเทพอย่าง Randy Rhodes ทำให้นักกีตาร์หลายคนในยุคต่อมาหันมาหลงไหลกับมนต์เสน่ห์ของเค้ากันอย่างถอนตัวไม่ขึ้น... เราข้ามไปที่ฝั่งอเมริกากันบ้างนะ... นักกีตาร์ระดับเทพอีกคนก็สร้างความสั่นสะเทือนวงการกับเทคนิกกีตาร์อันแพรวพราว รวมไปถึงการเอนเตอร์เทนคนดู Van Halen นั่นเอง คงไม่จำเป็นที่จะต้องสาธยายความสุดยอดของพวกเขานะ... ดนตรีในต้นยุค 80 นั่นมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว มีแนวดนตรีเกิดใหม่มากมาย Metallica, Megadeth, Anthrax, Exodus คือพวกแรกๆ ที่นำความหนักหน่วงของ Black Sabbath มาผสมความมันส์สะเด่าของดนตรี Punk และกลิ่นอายอันฉุนกึ้กของ NWOBHM กันจนเกิดแนวดนตรีที่เรียกว่า Thrash Metal นั่นเอง... หลังจากนั้นไม่นาน แนวดนตรี (หลัก) ก็ถือกำเนิดตามมาหลังจาก Thrash Metal นั่นก็คือ Death Metal และ Black Metal นั่นเอง แต่ความรุนแรงในยุค 80 ก็มีอีกแนวดนตรีอีกแนวที่มีความสนุกสนานและหญิงตรึมอย่าง Glam Metal หรือที่เรารู้จักกันดีกับ Hair Metal นั่นเอง Bon Jovi, Skid Row, Cinderella และอีกหลายร้อยวงที่สร้างแฟนเพลงให้กับตนเองอย่างมากมาย ซึ่งก็รวมไปถึง Guns N' Roses นั่นแหละ... ความนิยมของดนตรีแนว Heavy Metal นั้นสุดสะเด่าไปเลย จวบจนถึงช่วงปลายยุค 80 ที่มีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่นิยมชมชอบความรุนแรง ความบ้าระห่ำของการเล่น รวมไปถึงเสียงอันแตกสนั่นที่มาจากความเรียบง่ายของ Neil Young (ไม่เชื่อก็ไปหาวิดิโอการแสงสดของ Neil Young มาดูแล้วจะรู้ว่าป๋า Neil นั้นเล่นกีตาร์ได้รุนแรงและทำร้ายกีตาร์ขนาดไหนเอาเองเด้อ) นั่นก็คือเหล่าบรรดาเด็กหนุ่มจาก Seattle นั่นเอง Nirvana คือวงดนตรีที่ได้รับคามนิยมอย่างรวดเร็วและรุนแรง การเล่นกีตาร์เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากเทคนิกอันแพรวพราวเหนือชั้นแบบ Steve Vai หายไป กลิ่นอายของดนตรีที่เรียกตัวเองว่า Seattle Sound หรือ Grunge หรืออะไรต่อมิอะไรมากมาย (มันจะสร้างแนวกันทำไมเยอะแยะวะ จำไม่ไหววุ้ย) ทำให้ดนตรีในยุคปลาย 80 นั้นเปลี่ยนไป... ... ดนตรีในยุค 90 นั้นถือว่าเป็นยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย งาน Ten ของ Pearl Jam, Nevermind ของ Nirvana, Use Your Illusion I และ II ของ Guns N' Roses, Metallica (Black Album) ของ Metallica คือตัวอย่างที่น่าจะชัดเจน ซึ่งในยุค 90 นี้เองวงดนตรีที่กำเนิดมานั้นต่างยอมรับว่าตนเองนั้นได้รับแรงบรรดาลใจมาจากรุ่นพี่ รุ่นพ่อในอดีตกันแทบทั้งนั้น มันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า ถ้าไม่เชื่อก็ลองไปหางานของพวกเขามาฟังกันดีๆ จะได้กลิ่นอายของดนตรีในยุคก่อนหน้ากันทั้งนั้น บางวงอาจได้กลิ่นของหลายๆ วงเสียด้วยซ้ำไป... ฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจไปถ้าบางวงอาจจะนำเสียงใหม่ๆ เข้ามาสู่ตัวเองและไม่อายที่จะทำถ้ามันทำให้เสียงของตัวเองมีความหลากหลาย อย่างเช่นแนวดนตรี Power Metal, Grindcore, Hardcore, Melodic Metal, Brutal Death Metal, Doom Metal, ฯลฯ ปฏิเสธกันได้ไหมว่าดนตรีที่เกิดมาในยุคหลังๆ นี้ไม่มีการนำเสียงจากอดีตมาทำให้เข้ากับยุคสมัย...? ฉะนั้นแล้วการแบ่งแยกแนวดนตรีน่าจะเป็นเรื่องที่ทำได้ เพื่อการฟัง แต่การดูถูกแนวดนตรีที่เราไม่ได้ฟังนั้นเป็นเรื่องตลกมากกว่า ไม่มีดนตรีแนวไหนทำออกมาห่วยหรือดีเลิศประเสริฐศรี ของเหล่านี้แบ่งแยกได้อย่างเดียวคือชอบฟังกับไม่ชอบฟังแค่นั้นเอง ชอบก็ฟังไป ไม่ชอบก็ไม่ต้องฟัง ทำไมต้องดูถูกแนวดนตรีแนวอื่นด้วย ทั้งๆ ที่รากฐานของดนตรีในยุคปัจจุบันนี้ต่างก็มาจากจุดเดียวกันทั้งนั้น ฉะนั้นเราจงมาฟังดนตรีกันอย่างมีความสุขกันเถิด ใครจะฟังเพลงเพื่อสร้างภาพให้กับตัวเองก็ช่างหัวมันประไร...!!!

วันเสาร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2551

Guns N' Roses - Appetite For Destruction (1987)

สำหรับยุค 80 คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักพวกเค้า นับตั้งแต่อัลบั้มแรกออกวางตลาด พวกเค้าก็ครอบครองโลกใบนี้ไว้ในอุ้งมือ เหอๆ เป็นใครไปไม่ได้นอกจาก Gun N Roses เอาล่ะ ไปรู้จักพวกเค้าให้ดีกว่านี้ดีกว่าครับ ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ปี 1962 ไอ้หนู Axl Rose หรือ William Bailey (นามสกุลยังกะแดง ไบเล่เลยวุ้ย) ก็ถือกำเนิดขึ้น ถัดมาไม่กี่วัน 8 เมษายนปีเดียวกัน Izzy Stradlin [Jeff Isbell] ก็คลานออกมา วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 1964 Duff McKagan [Michael McKagan] ก็ตามมาอีกคน วันที่ 22 มกราคม 1965 Steven Adler ก็เกิดตามมา คนสุดท้าย วันที่ 23 กรกฏาคม 1965 ไอ้ฟู Slash (Sual Hudson) ก็เกิดมาจนได้ ช่วงประมาณปี 1972-1976 Steven Adler กับ Slash ก็ย้ายไปร้อยเอ็ด เอ้ย... Los Angelis ตั้งแต่ปี 1976 -1983 ไอ้พวกที่เอ่ยๆ ชื่อมาข้างบนนั่นน่ะ ก็ต่างคนต่างเล่นดนตรีไปตามเรื่องตามราว โดยที่เจอกันบ้าง แต่ไม่ได้มีอะไรไปกว่าเพื่อนร่วมอาชีพเท่านั้น แต่.... ช่วงปลายๆ ปี 1983 Axl ก็ได้พบกับ Izzy และ Chris Weber และ Johnny Kreiss แล้วก็ตั้งวงดนตรีขึ้นชื่อว่า A.X.L และภายหลังก็เปลี่ยนมาเปง Rose ในภายหลัง แต่สุดท้ายพวกเค้าก็เปลี่ยนชื่อวงอีกครั้งคือ Hollywood Rose ปลายปี 1984 Izzy ก็แยกตัวไปอยู่วง London กับ Chris Weber และ Axl ก็ลาออกจากวง Hollywood Rose และไปฟอร์มวงใหม่ชื่อว่า LA. Gun โดยมีสมาชิกอีกสองคนก็คือ Ole Beich และ Rob Gardner พอสิ้นปี 1984 Hollywood Rose ก็กลับมารวมตัวเฉพาะกิจอีกครั้ง และ Tracii Guns ก็เข้ามาแทน Chris Weber พอสิ้นปี 1984 Hollywood Rose ก็กลับมารวมตัวเฉพาะกิจอีกครั้ง และ Tracii Guns ก็เข้ามาแทน Chris Weber ต้นปี 1985 Duff ตัดสินในหันมาเล่นเบส และได้พบกับ Steven Adler กะ Slash โดยที่ตอนนั้นพวกเค้าก็ฟอร์มวงขึ้นมาคือ Road Crew และ Slash ก็โชว์ท่อน Riff ที่คิดขึ้นมาสดๆ ซึ่งภายหลังก็คือเพลง Paradise City นั่นเอง 26 มีนาคม 1985 LA Gun และ Hollywood Rose ก็มารวมตัวกันโดยใช้ชิ่อว่า Gun N Roses โดยที่พวกเค้าไม่ยอมรับชื่อวงอีก 2 ชื่อก็คือ Head of Amazon และ AIDS โดยที่มีสมาชิกดังนี้ Axl Izzy Tracii Guns Beich และ Gardner ต่อมา Duff ก็เข้ามาแทน Beich และนี่ก็คือรายชื่อสมาชิก Gun N Roses ในยุคก่อตั้ง W. Axl Rose (vocals) Izzy Stradlin (guitar) Tracii Guns (guitar) Duff McKagan (bass) Rob Gardner (drums) ต่อมา ในวันที่ 6 มิถุนายน 1985 Slash กับ Steven Adler ก็เข้ามาแทน Tracii Guns และ Rob Gardner ช่วงปลายปี 1985 G N R ก็เริ่มแต่งเพลงของตัวเอง หลังจากที่เล่นเพลงของคนอื่นมานาน โดยที่เพลงเหล่านั้นก็คือ Welcome To The Jungle Reckless Life It s So Easy และ Don t Cry ช่วงนี้พวกเค้าได้รับความนิยมอย่างมาก คลับที่พวกเค้าไปแสดงได้รับการต้อนรับอย่างล้นหลาม โดยที่คลับเหล่านั้นก็ต้อนรับศิลปินระดับโลกมาแล้วมากมาย คลับพวกนี้ก็คือ Whisky a Go-Go Roxy The Water Club Troubadour 25 มีนาคม 1986 พวกเค้าก็ได้เซ็นสัญญากับ Geffen Record และพวกเค้าก็เริ่มทำอัลบั้ม Appertite for Destruction ประมาณปลายปี 1986 พวกเค้าก็อัดอัลบั้มแรกเสร็จ ทาง Geffen ก็วางแผนว่าจะวางจำหน่ายอัลบั้มนี้ในเดือนกรกฏาคม 1987 และทาง Geffen ก็ปล่อย EP ของพวกเค้าออกมาก็คือ Live Like A Suicide 15 มิถุนายน 1987 Single It s so easy และ Mr.Brownstone ก็วางจำหน่าย และแล้ว 21 กรกฏาคม 1987 อัลบั้มแห่งประวัติศาสตร์ Appertite for Destruction ก็ออกวางจำหน่ายในอเมริกา และเดือนสิงหาคม ก็วางจำหน่ายที่อังกฤษ 29 กันยายน - 8 ตุลาคม 1987 ทางวงออกทัวร์ในยุโรป โดยที่ไปจบที่ Hammersmith Odeon ในลอนดอน โดยในระหว่างทัวร์ที่ Amsterdam Axl ก็พ่นคำนี้ออกมา people like Paul Stanley from Kiss can suck my dick! And some of these old guys that say we re ripping them off maybe they should listen to some of their earlier albums and remember how to play them ไปแปลกันเอาเองเน้อ เดือนพฤศจิกายน 1987 พวกเค้าร่วมทัวร์กับ Motley Crue Slash กับ Steven Adler ก็ช่วย Nikki Sixx (มือเบสจอมระห่ำ) จากอาการช๊อกยา 23 เมษายน 1988 Appertite for Destruction ก็ติดอันดับ 10 ของ Billboard จนได้ 23 กรกฤาคม 1988 อัลบั้มนี้ก็ขึ้นไปจนถึงอันดับ 1 ของ BillBoard 30 พฤศจิกายน 1988 ทาง Geffen และทางวงก็ปล่อยอัลบั้มซึ่งเป็นงานรวมเพลงเก่าๆ ของพวกเค้า และเพลงที่เล่นในแบบ Acoustic ออกมาคือ Lies! The Sex The Drugs The Violence The Shocking Truth แต่หลายๆ คนบอกว่ายาวชิบหาย ก็เลยเปลี่ยนเป็น G N R Lies ในช่วงนี้พวกเค้าก็ออกทัวร์อีกมากมาย จนเกิดเรื่องเกิดราวเยอะแยะ แต่ไม่มีเหตุการไหนที่จะโด่งดังเท่าอันนี้ 11 กันยายน 1989 G N R ได้รับรางวัล Best Heavy Metal/Hard Rock Video ได้จากเพลง Sweet Child O Mine แต่หลังเวที Vince Neil ต่อยปาก Izzy จนปากของ Izzy แหกเพราะแหวนที่นิ้ว และบังเอิญชิบที่กล้องสามารถจับภาพนั้นได้ด้วย อุอุ ดือนกุมภาพันธ์ 1990 Darren (Dizzy) Reed เข้ามาร่วมวงในตำแหน่ง Keyboard 11 กรกฏาคม 1990 Steven Adler ถูกไล่ออกจากวงเนื่องจากไม่หยุดเสพยา และผู้มาแทนก็คือ Matt Sorum จากวง The Cult ช่วงเดือนกันยายน 1990 พวกเค้ามีเพลงอยู่ในกำมือถึง 36 เพลง โดยที่จะตั้งชื่ออัลบั้มว่า Use Your Illusion ตามภาพเขียนของ Mark Kostabi โดยที่ทาง Geffen และ ทางวงจะวางขายเป็นอัลบั้มคู่ และในหนึ่งอัลบั้มจะมี 2 แผ่นด้วยกัน 9 พฤศจิกายน 1990 Axl Slash Duff Sebastian Bach (Skid Row) James Hetfields & Kirk Hammett และ Lars Ulrich ร่วมตัวกันในงาน RIP magazine s party ที่ Hollywood Palladium โดยใช้ชื่อวงว่า GAK และเล่นเพลง You re Crazy For Whom The Bell Tolls Piece Of Me Hair Of The Dog Whiplash (#1) and Whiplash (#2) 20 - 23 มกราคม 1991 ทางวงได้ไปเปิดคอนเสิร์ทที่ Rio de Janeiro ท่ามกลางคนดูจำนวนมหาศาล สองรอบรวมกัน 260,000 คน!!! 25 มิถุนายน 1991 You re could be mind ออกวางจำหน่ายใน US. และเพลงนี้ก็ได้นำไปเป็น Soundtrack ในหนังเรื่อง Terminator2 : Judgememt Day โดยที่มีพี่กล้าม Arnold Schwarzenegger ได้มาเปนพระเอกมิวสิกด้วยล่ะ กักๆๆ ในช่วงนี้ทางวงก็ไปทัวร์คอนเสิร์ทในประเทศแถบสแกนดิเนเวีย โดยที่ทางวงก็ได้ก่อเรื่องก่อราวมากมายมหาศาล เช่นพังห้องพัก ทุ่มทีวีลงมาจากห้องพัก เหล้า ผู้หญิง แต่ก็อย่างว่าตั๋วทุกใบจำหน่ายเกลี้ยง รวมๆ แล้วไม่ต่ำกว่า 370 000 16 กันยายน 1991 Use Your Illusion I&II ออกวางจำหน่ายที่ยุโรป 17 กันยายน 1991 Use Your Illusion I&II ออกวางจำหน่ายที่อเมริกา น่าแปลกที่ชุด II ออกวางจำหน่ายก่อน และแปลกกว่าก็คือทั้งสองอัลบั้ม ขึ้นอันดับ 1 และ 2 ใน Billboard ทันที ซุ๊ดหยอดว่ะ 7 พฤศจิกายน 1991 Izzy Stradlin ลาออกจากวงและผู้ที่มาแทนก็คือ Gilby Clarke จากวง Kill For Thrills และสมาชิกยุคนี้ก็คือ W. Axl Rose (lead vocals piano) Slash (lead guitar backing vocals) Duff McKagan (bass backing vocals) Gilby Clarke (rhythm guitar backing vocals) Dizzy Reed (keyboards percussion) Matt Sorum (drums backing vocals) และในโชว์คอนเสิร์ทที่ Worcester MA. โดยที่มี Soundgarden มาเป็นวงเปิด ทางวงก็นำนักดนตรีสนับสนุน โดยที่มีพวกเครื่องเป่ามาเล่นด้วย Ted Andreadis (keyboards harmonica background vocals) Diane Jones (background vocals) Roberta Freeman (background vocals) Tracy Amos (background vocals) 976-Horns: Lisa Maxwell (horns) Cece Worrall (horns) Anne King (horns) 9 ธันวาคม 1991 ทางวงก็เล่นที่ Madison Square Garden ต่อหน้าผู้ชมกว่า 160 000 คน 31 ธันวาคม 1991 ฉลองปีใหม่กันที่ Joe Robbie Stadium 180 000 คน อูยยยย 20 - 22 มกราคม 1992 Live at Tokyo Dome โชว์สามรอบคนดูรวม 250 000 คน และทำมีการบันทึกเทปอีกด้วย 20 เมษายน 1992 ทางวงได้ไปร่วมในคอนเสิร์ท The Freddie Mercury Tribute Concert for AIDS Awareness. ต่อหน้าผู้ชมเต็มสนาม Wembley 170 000 คน โดยที่พวกเค้าร้องเพลง Paradise City และ Knockin On Heavens Door และร่วมร้องกับป้าแอ๋ว (Elton John) ในเพลง Bohemian Rhapsody และ We will rock you & We are the Champion 12 พฤษภาคม - 4 กรกฏาคม 1992 ทัวร์ยุโรป รวมแฟนเพลงกว่า 600,000 คน ตั๋วขายหมดเกลี้ยงจ้า 9 กันยายน 1992 Axel ด่า Courtney Love (เมีย Kurt Kobain) ว่า You shut your ###### up or I m taking you down to the pavement! ทาง Kurt ก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากคำว่า Shut up ######! ให้กับเมียตัวเอง ในงานเปิดตัวหนังสือ Come As You Are The Story Of Nirvana ของ Michael Azerrad 8 ธันวาคม 1992 ทางวงปล่อยบันทึกการแสดงสดครั้งแรกของวงออกมา โดยใช้ชื่อว่า Use Your Illusion World Tour 1992 In Tokyo ไปหามาดูกันนะครับ มันส์สุดๆ เลยล่ะ ในช่วงนี้ทางวงก็ออกทัวร์อีกหลายร้อยโชว์ โดยที่มีผู้ชมหลายแสนคน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตั๋วจะขายหมดหรือไม่หมด อุอุ อ่อ...ช่วงนี้ทางวงก็เริ่มทำอัลบั้มใหม่เหมือนกันด้วย 23 พฤศจิกายน 1993 ทางวงก็ออกอัลบั้มใหม่ ซึ่งเป็น Cover Album ออกมา คือ The Spaghetti Incident? เดือนมิถุนายน 1994 Gilby Clark ถูกไล่ออกจากวง เดือนตุลาคม 1994 Slash s Snakepit ซึ่งเป็นวงเดี่ยวของ Slash ทำอัลบั้มเสร็จ และจะวางจำหน่ายในเดือนกุมภาพันธ์ 1995 กุมภาพันธ์ 1995 Slash s Snakepit ออกวางจำหน่าย โดยที่มีสมาชิกดังนี้ Slash Gilby Matt Sorum Eric Dover (ต่อมาก็มาตั้งวง Jelly fish) และ Mike Inez (Alice in chain) 30 ตุลาคม 1996 Slash ลาออกจากวง ทางวงก็ไม่ได้สนใจอะไร ยังคงทะเลาะและมีปัญหากันตลอดเวลา สาเหตุก็คือเรื่องเงินและสุรา+ยาเสพติด เดือนมกราคม 1997 Axl ก็ได้เป็นเจ้าของลิขสิทธ์ชื่อ Guns N Roses แต่เพียงผู้เดียว 21 กรกฏาคม 1997 ครบรอบ 10 ปี Appertite fot Destruction เดือนสิงหาคม 1997 Duff ลาออกจากวง 16 มีนาคม 1999 Steven Adler เป็นผู้รับรางวัล Diamond Award จาก RIAA เนื่องจากอัลบั้ม Appertite for Destruction ขายได้เกิน 15 ล้านแผ่นทั่วโลก 30 พฤษจิกายน 1999 อัลบั้ม Live Era 87 - 93 ออกวางจำหน่าย ในช่วงนี้ก็มีนักดนตรีชื่อดังหลายคนเข้าๆ ออกๆ วงกันเป็นว่าเล่น โดยมีราบชื่อดังนี้ Bryan Brain Mantia Buckethead and Robin Finck และ Josh Freese และก็ช่วงนี้ Slash Duff และ Matt ก็รวมตัวกันอีกครั้ง โดยมี Josh Todd มาร้องนำและ Keith Nelson มาเล่นกีต้าร์ให้ ในงาน Randy Castillo Tribute หลังจากนั้นพวกเค้าก็ร่วมกับ Sen Dog (Cyperss Hill) และ Steven Tyler จาก Aerosmith ออก Single มา มีเพลง It s So Easy God Save The Queen Nice Boys Lit Up Paradise City และ Mama Kin หลังจากนั้น Axl และ G N R ของเค้าก็ออกทัวร์อีกครั้ง ถ้าจำได้ ไอ้ Buckethead เอาเคเอฟซีบักเกตมาสวมหัว ทำให้คล้ายๆ Slash อ่ะ จำได้มั้ย 555 6 มิถุนายน 2003 Scott Weiland Duff McKagan Matt Sorum Slash และ Dave Kushner รวมตัวกันฟอร์มวง Velvet Revolver 15 มีนาคม 2004 Geffen ออกรวมงาน Greatest Hits ในยุโรป โดยที่ติดอันดับ 1 ใน 9ประเทศ ที่อังกฤษ ติดอันดับหนึ่งนานถึง 5 สัปดาห์ 23 มีนาคม 2004 Greatest Hits วางจำหน่ายที่อเมริกา ติดอันดับ 3 ทันที สุดท้ายแระ 7 ธันวาคม 2004 Velvet Revolver เข้าชิง Grammy Award สาขา Best Hard Rock Performance Best Rock Song และ Best Rock Album หมดซะที ยาวเหยียดสะใจดีมะ สำหรับข่าวคราวของวงก็ไปติดตามกันเอาเองนะ จริงๆ แล้ว ยังมีอีกเยอะที่ไม่ได้แปลมา เพราะมันเยอะจัด แต่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องที่ทางวงอาละวาด ทำลายข้าวของ ข่าวเรื่องเมาแล้วเปรี้ยว โดนจับเรื่องยา สุดท้ายวง Heavy Metal ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุค 80 ก็ต้องจบลงไป
1. Welcome To The Jungle2. It's So Easy3. Nightrain4. Out Ta Get Me5. Mr. Brownstone6. Paradise City7. My Michelle8. Think About You9. Sweet Child O' mine10. You're Crazy11. Anything Goes12. Rocket Queen

ไม่มีความคิดเห็น: