TAWEELAP ROCK 70'

Custom Search

TAWEELAP ROCK RADIO

สวัดดีชาวร็อคทุกท่านครับ

หลังจากบอร์ดพังเป็นครั้งที่เท่าไหร่จำไม่ได้เหมือนกัน ผมกลับมาทำอีกครั้งเพราะใจรักจริงๆจุดประสงค์ที่ทำเว็บนี้ขึ้นมาไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรแอบแฝง เพียงเพื่ออยากแลกเปลี่ยนเพลงกันระหว่างสมาชิกเท่านั้นและอยากแบ่งปันประสบการณ์เพลงในยุคเก่าๆเพื่อไม่ให้เพลงเหล่านี้สูญหายไปจากความทรงจำ บางอัลบั้มก็หาซื้อไม่ได้แล้วและบางอันก็ไม่มีจำหน่ายหรือบางทีราคาก็แพงจนรับไม่ได้ เพลงเหล่านี้มีคุณค่าในตัวมันเองมากมายครับ
ในยุค 60 - 70 วงดนตรีมีมากมายนับไม่ถ้วนแต่ละวงมีเอกลักษ์ของตัวเองชัดเจนมาก เล่นมาจากอารมณ์ข้างในมันสะท้อนอะไรได้หลายอย่างไม่ว่าจะเป็นการดำเนินชีวิตหรือไปจนถึงเรืองยาเสพติด
วงดนตรีสมัยนั้นเกือบ 100% พึ่งยาเสพติดในการแต่งเพลงถึงมันจะเป็นด้านลบแต่ด้านบวกมันได้สร้างสรรญผลงานอันทรงคุณค่าและเป็นเป็นอมตะจนถึงปัจจุบันนี้ครับ
ส่วนของหน้าเว็บผมจะโพสเฉพาะบิทเรท 128-256 เท่านั้น ส่วนแบบ 320 KB จะมีในส่วนของเว็บบอร์ด 320 KB ซึ่งท่านต้องสมัครสมาชิกก่อนถึงจะเข้าห้องได้นะครับ ผมหวังว่าที่แห่งนี้จะอยู่เป็นเพื่อนท่านอีกแห่งนึงนะครับ taweelap ..................... Rock Never Die

History of Rock...!!!

นับตั้งแต่ Bill Haley & His Comets ออกซิงเกิลที่มีชื่อว่า Rock around the clock ในปี 1954 นั้น บทเพลงแนวใหม่ก็ถือกำเนิดขึ้นมาในวินาทีนั้นเอง กระแสของดนตรีแนวใหม่เปรียบเสมือนระเบิดลูกใหญ่ที่ทำลายวัฒนธรรมของ Jazz, Blues รวมไปถึงงานดนตรีที่บรรดาพ่อแม่ของเด็กหนุ่มสาวในยุค 50 จนพินาศสิ้น หลังจากนั้นไม่นานก็มีบุคคลอีกคนหนึ่งซึ่งน่าจะถือว่าเป็นผู้ฝังรากของดนตรีแนวใหม่ให้ก่อเกิดขึ้น นั่นก็คือ Alan Freed "Father of Rock 'n Roll" ชายคนนี้คือใคร...? ชายคนนี้คือผู้ให้กำเนิดคำว่า Rock 'n Roll นั่นเอง และชายคนนี้ก็เป็นดีเจที่เปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมของดนตรี Mainstream ในยุค 50 จนหมดสิ้น คือรายการวิทยุในยุคนั้นไม่มีการนำเพลงของคนดำมาออกอากาศ แต่ Alan ก็นำบทเพลงของคนดำซึ่งกำลังได้รับความนิยมมาออกอากาศสู้กับ Frank Sinatra ของพวกรุ่นใหญ่ได้อย่างเมามันส์... Little Richard, Jerry Lee Luis, Chuck Berry นั่นเอง หลังจากนั้นไม่นาน ชายหนุ่มจากเมมฟิสอีกคนก็ทำให้ดนตรี Rock 'n Roll ขึ้นสูงจนถึงจุดสุดยอด ชายหนุ่มคนนี้มีลีลาที่ไม่เหมือนใคร บทเพลงที่ไพเราะและรูปร่างหน้าตาสุดหล่อ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก "The King" Elvis Presley นั่นเอง (อย่าด่า Elvis ต่อหน้าพ่อแม่ตัวเอง เพราะอาจโดนตบได้) หลังจากที่ Elvis โด่งดังจนถึงขีดสุด ซิงเกิลฮิตอันมากมายมหาศาลเพียงไรก็ตาม มันก็ถึงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง... ... ในต้นยุค 60 ก็มีวงดนตรีอีกวงหนึ่งที่มีความนิยมไม่แพ้ Elvis เลยนั่นก็คือเด็กหนุ่มจากเมือง Liverpool ใครวะ...? บางคนอาจจะถาม เด็กหนุ่มหน้าตาดีกลุ่มนี้ก็คือ The Beatles นั่นเอง The Beatles ได้สร้างปรากฏการณ์ทางดนตรี Rock อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน บทเพลงหลากหลายของ The Beatles นั้นขึ้นอันดับหนึ่งอย่างรวดเร็ว และเป็ศิลปินที่มีซิงเกิลขึ้นอันดับหนึ่งมากที่สุดในโลก ความนิยมของ The Beatles ในตอนต้นยุค 60 นั้นก็ทำให้มีวงดนตรีอีกวงหนึ่งที่ถือว่าเป็นด้านมืดของ The Beatles ก็ว่าได้ ภาพของ The Beatles คือดนตรีแห่งสวรรค์ แต่บทเพลงของวงดนตรีอีกวงนั้นก็เป็นด้านนรกไปเลย ภาพลักษณ์อันตรงกันข้ามกับ The Beatles นั้นก็สร้างชื่อเสียงให้กับพวกเค้ามาจนถึงปัจจุบัน The Rolling Stones นั่นเอง... ในช่วงยุค 60 นั้นวงดนตรีจากฝั่งอังกฤษเข้าบุกถล่มแผ่นดินอเมริกาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็เป็นสูตรสำเร็จของดนตรี ถ้าจะพิสูจน์ตัวเอง ต้องไปดังที่อเมริกาให้ได้ กาลเวลาก็เดินไปเรื่อยๆ จนถึงยุคสงครามเวียดนามระเบิดขึ้น การเรียกร้องสันติภาพ เสรีภาพระบาดรุนแรงไปทั่ว... วงการดนตรีค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ดังบทเพลง The time they are a changin' ของ Bob Dylan ในช่วงปลายๆ ยุค 60 ก็มีการเล่นดนตรีผสมกับยาเสพติดขึ้น... Psychedelic คือคำเรียกของดนตรีแนวนี้... (ซึ่งก็จะรวมไปถึง Progressive, Acid และแนวดนตรีที่มีกลิ่นอายใกล้เคียงกัน) แนวทางของดนตรีในช่วงปลายยุค 60 นั้นสร้างปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "ดนตรีลูกผสม" หรือดนตรีแนวทดลองขึ้นมาอย่างกว้างขวาง... หลากหลายบทเพลงมีการนำดนตรีมาผสมกับยาเสพติดกันอย่างรุนแรง... The Doors, The Grateful Dead, King Crimson ซึ่งก็รวมไปถึง Sgt. Pepper's Lonely Hearts Club Band ของ The Beatles ที่หันเหไปทางดนตรีแนว Psychedelic อย่างชัดเจน ซึ่งมันก็ทำให้ดนตรี Rock ในยุคปัจจุบันมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดกับชายผู้หนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นนักกีตาร์อันดับหนึ่งตลอดกาล... Jimi Hendrix & The Experience นั่นเอง เสียงที่ Jimi Hendrix สร้างขึ้นมาทำให้เค้ากลายเป็นเทพเจ้าในชั่วข้ามคืน หลายบทเพลงของ Hendrix สร้างแรงบรรดาลใจให้กับนักดนตรี Rock ในยุคต่อมาอย่างรุนแรง... ... เข้าสู่ยุค 1970 กันเสียที... หลังจากการเสียชีวิตอย่างกระทันหันของ Hendrix ไปนั้น ดนตรี Rock ก็ยังไม่ถึงกาลดับสูญ... Black Sabbath ได้นำเสียงแตกสั่นและหนักแน่นเข้ามากระแทกหูคนฟังบทพื้นพิภพนี้ เสียงที่ Black Sabbath สร้างออกมานั้นก็สร้างแรงบรรดาลใจให้กับนักดนตรี Rock สาย Thrash Metal, Death Metal และ Black Metal ในยุคหลังๆ ไม่มีใครปฏิเสธความยิ่งใหญ่ของ Black Sabbath ได้ (นอกจากเกรียน) ยังไม่พอ... Deep Purple ก็สร้างตำนานให้กับตัวเองด้วยเพลง Smoke on the water ที่เป็นท่อน Riff อมตะอีกบทเพลง รวมไปถึงการโซโลกีตาร์และคีย์บอร์ดอันรวดเร็วและเมามันส์ของพวกเค้าก็เป็นพื้นฐานให้ดนตรีในยุคหลังๆ ได้เป็นอย่างดี... นี่เราต้องพูดถึงวงดนตรีอีกวงหนึ่งที่ถือว่าขึ้นหิ้งอันไม่สามารถลบหลู่ได้อีกวง... Led Zeppelin นั่นเอง... บทเพลงที่ Zep สร้างขึ้นมานั้นรวมไปถึงเทคนิคกีตาร์ที่ Jimmy Page สร้างขึ้นมาก็เป็นแรงบรรดาลใจให้กับนักดนตรี Rock ในยุคหลังๆ ได้เป็นอย่างดี ไม่ต้องคิดอะไร ฟังแค่ Stairway to heaven ที่ถือว่าเป็นบทเพลงชาวเมทัลทั้งหลายทั้งปวง... มันยังไม่จบหรอกนะ Michael Schenker ก็สร้างเสียงกีตาร์ของตัวเองออกมาบ้าง Rock Bottom นั้นเปรียบเสมือนระเบิดที่ทำให้วงการดนตรี Rock เปลี่ยนไป... ขอข้ามแนวจาก Hard Rock มายังอีกแนวเพลงนึงที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง นั่นก็คือบทเพลงที่พัฒนามาจากแนว Psychedelic นั่นก็คือ Progressive Rock นั่นแหละ... ความซับซ้อนทางดนตรี รวมไปถึงความเป็นอัจฉริยะของนักดนตรีที่สร้างบทเพลงแห่งความล่องลอยและตำนานการติดบิลบอร์ดอันยาวนานของ Dark Side of The Moon โดยศิลปิน Pink Floyd นั้นยังหาใครมาทาบรัศมีได้เลย... ยังมีผู้ใดที่เคลือบแคลงความยิ่งใหญ่ของพวกเค้าอีกไหมถ้ารู้ว่าเค้าสามารถขายงานได้ 250 ล้านแผ่นทั่วโลกเนี่ย...? ดนตรีในยุค 70 ก็มีความหลายหลายและมนต์เสน่ห์เพียงไรถ้าเราได้ฟังงานสุดคลาสสิคของ The Eagles ที่นำเสียงของ Hard Rock เข้ามาผสมกับ Southern Rock กันอย่างลงตัวกับบทเพลง Hotel California ซึ่งก็รวมไปถึงมหากาพย์ของดนตรีอย่างเพลง Freebirds ของ Lynyrd Skynyrd...!!! ยังไม่จบ... ดนตรีที่เรียกกันว่าหัวก้าวหน้าในยุค 70 นั้นเราจะลืม "ราชันต์ในนามราชินี" Queen กับบทเพลง Bohemian Rhapsody ได้เหรอ...? ย้อนเวลาไปช่วงต้นๆ 70 กันอีกครั้งนะ Neil Young & The Crazy Horse, Iggy Pop & The Stooges, New York Dolls และ MC5 ก็สร้างบทเพลงแห่งความก้าวร้าวรุนแรงขึ้นมาบ้าง ซึ่งมันก็เหมือนระเบิดเวลาที่รอวันระเบิด... และมันก็ระเบิดออกมาในช่วงปลายๆ ยุค 70 กับวงดนตรี Sex Pistols (และอีกหลายๆ วง) นั่นก็คือแนวดนตรีที่เรียกว่า Punk นั่นเอง แนวดนตรี Punk นั้นสร้างความนิยมอย่างรุนแรงส่งผลกระทบต่อ Hard Rock อย่างมาก จนทำให้แนวดนตรี Hard Rock แทบจะสูญสลายไปเลย แต่มันก็ยังไม่ตายเสียทีเดียวหรอกนะ ดนตรีที่กำเนิดขึ้นมาในช่วงปลายๆ ยุค 70 นั่นก็คือ New Wave of British Heavy Metal นั่นเอง...!!! ... ช่วงรอยต่อของยุค 70 กับ 80 นั้นงานดนตรีมีการฑัฒนาไปอย่างรวดเร็ว วงดนตรีที่เรียกตัวเองว่าเป็น NWOBHM ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว จนทำให้ดนตรี Punk กลายพันธ์ไป (จะกล่าวถึงภายหลัง) หัวหอกของดนตรีแนว NWOBHM ก็มีเช่น Iron Maiden, Judas Priest, Motor Head, Diamond Head, Def Leppard และถ้าเราไม่นับชายคนนี้ก็ไม่ได้ Ozzy Osbourne ชายผู้ที่ยืนอยู่บนยอดสุดของพีรามิดแห่ง Metal นั่นเอง หลากหลายบทเพลงที่ Ozzy Osbourne Band สร้างขึ้นมาสร้างความสั่นสะเทือนให้กับดนตรี Rock เป็นอย่างสูง ซึ่งผนวกกับนักกีตาร์โนเนมแต่ฝีมือระดับเทพอย่าง Randy Rhodes ทำให้นักกีตาร์หลายคนในยุคต่อมาหันมาหลงไหลกับมนต์เสน่ห์ของเค้ากันอย่างถอนตัวไม่ขึ้น... เราข้ามไปที่ฝั่งอเมริกากันบ้างนะ... นักกีตาร์ระดับเทพอีกคนก็สร้างความสั่นสะเทือนวงการกับเทคนิกกีตาร์อันแพรวพราว รวมไปถึงการเอนเตอร์เทนคนดู Van Halen นั่นเอง คงไม่จำเป็นที่จะต้องสาธยายความสุดยอดของพวกเขานะ... ดนตรีในต้นยุค 80 นั่นมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว มีแนวดนตรีเกิดใหม่มากมาย Metallica, Megadeth, Anthrax, Exodus คือพวกแรกๆ ที่นำความหนักหน่วงของ Black Sabbath มาผสมความมันส์สะเด่าของดนตรี Punk และกลิ่นอายอันฉุนกึ้กของ NWOBHM กันจนเกิดแนวดนตรีที่เรียกว่า Thrash Metal นั่นเอง... หลังจากนั้นไม่นาน แนวดนตรี (หลัก) ก็ถือกำเนิดตามมาหลังจาก Thrash Metal นั่นก็คือ Death Metal และ Black Metal นั่นเอง แต่ความรุนแรงในยุค 80 ก็มีอีกแนวดนตรีอีกแนวที่มีความสนุกสนานและหญิงตรึมอย่าง Glam Metal หรือที่เรารู้จักกันดีกับ Hair Metal นั่นเอง Bon Jovi, Skid Row, Cinderella และอีกหลายร้อยวงที่สร้างแฟนเพลงให้กับตนเองอย่างมากมาย ซึ่งก็รวมไปถึง Guns N' Roses นั่นแหละ... ความนิยมของดนตรีแนว Heavy Metal นั้นสุดสะเด่าไปเลย จวบจนถึงช่วงปลายยุค 80 ที่มีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่นิยมชมชอบความรุนแรง ความบ้าระห่ำของการเล่น รวมไปถึงเสียงอันแตกสนั่นที่มาจากความเรียบง่ายของ Neil Young (ไม่เชื่อก็ไปหาวิดิโอการแสงสดของ Neil Young มาดูแล้วจะรู้ว่าป๋า Neil นั้นเล่นกีตาร์ได้รุนแรงและทำร้ายกีตาร์ขนาดไหนเอาเองเด้อ) นั่นก็คือเหล่าบรรดาเด็กหนุ่มจาก Seattle นั่นเอง Nirvana คือวงดนตรีที่ได้รับคามนิยมอย่างรวดเร็วและรุนแรง การเล่นกีตาร์เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากเทคนิกอันแพรวพราวเหนือชั้นแบบ Steve Vai หายไป กลิ่นอายของดนตรีที่เรียกตัวเองว่า Seattle Sound หรือ Grunge หรืออะไรต่อมิอะไรมากมาย (มันจะสร้างแนวกันทำไมเยอะแยะวะ จำไม่ไหววุ้ย) ทำให้ดนตรีในยุคปลาย 80 นั้นเปลี่ยนไป... ... ดนตรีในยุค 90 นั้นถือว่าเป็นยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย งาน Ten ของ Pearl Jam, Nevermind ของ Nirvana, Use Your Illusion I และ II ของ Guns N' Roses, Metallica (Black Album) ของ Metallica คือตัวอย่างที่น่าจะชัดเจน ซึ่งในยุค 90 นี้เองวงดนตรีที่กำเนิดมานั้นต่างยอมรับว่าตนเองนั้นได้รับแรงบรรดาลใจมาจากรุ่นพี่ รุ่นพ่อในอดีตกันแทบทั้งนั้น มันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า ถ้าไม่เชื่อก็ลองไปหางานของพวกเขามาฟังกันดีๆ จะได้กลิ่นอายของดนตรีในยุคก่อนหน้ากันทั้งนั้น บางวงอาจได้กลิ่นของหลายๆ วงเสียด้วยซ้ำไป... ฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจไปถ้าบางวงอาจจะนำเสียงใหม่ๆ เข้ามาสู่ตัวเองและไม่อายที่จะทำถ้ามันทำให้เสียงของตัวเองมีความหลากหลาย อย่างเช่นแนวดนตรี Power Metal, Grindcore, Hardcore, Melodic Metal, Brutal Death Metal, Doom Metal, ฯลฯ ปฏิเสธกันได้ไหมว่าดนตรีที่เกิดมาในยุคหลังๆ นี้ไม่มีการนำเสียงจากอดีตมาทำให้เข้ากับยุคสมัย...? ฉะนั้นแล้วการแบ่งแยกแนวดนตรีน่าจะเป็นเรื่องที่ทำได้ เพื่อการฟัง แต่การดูถูกแนวดนตรีที่เราไม่ได้ฟังนั้นเป็นเรื่องตลกมากกว่า ไม่มีดนตรีแนวไหนทำออกมาห่วยหรือดีเลิศประเสริฐศรี ของเหล่านี้แบ่งแยกได้อย่างเดียวคือชอบฟังกับไม่ชอบฟังแค่นั้นเอง ชอบก็ฟังไป ไม่ชอบก็ไม่ต้องฟัง ทำไมต้องดูถูกแนวดนตรีแนวอื่นด้วย ทั้งๆ ที่รากฐานของดนตรีในยุคปัจจุบันนี้ต่างก็มาจากจุดเดียวกันทั้งนั้น ฉะนั้นเราจงมาฟังดนตรีกันอย่างมีความสุขกันเถิด ใครจะฟังเพลงเพื่อสร้างภาพให้กับตัวเองก็ช่างหัวมันประไร...!!!

วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2551

Wishbone Ash - Argus (1972) U.K


1- Time Was 2- Sometime World 3- Blowin' Free 4- The King Will Come 5- Leaf And Stream 6- Warrior 7- Throw Down The Sword 8- No Easy Road (Bonus Track) http://www.zshare.net/download/2451198bddc79e/

UFO - Phenomenon (1974) U.K



1- Too Young To Know 2- Chrystal Light 3- Doctor Doctor 4- Space Child 5- Rock Botton 6- Oh My 7- Time On My Hand 8- Built For Confort 9- Lipstick Tracks 10- Queen Of The Deep http://www.zshare.net/download/2539176dea34bb/

Warrant - Dog Eat Dog (1992)


1. Machine Gun 2. The Hole In My Wall 3. April 2031 4. Andy Warhol Was Right 5. Bonfire 6. The Bitter Pill 7. Hollywood (So Far, So Good) 8. All My Bridges Are Burning 9. Quicksand 10. Let It Rain 11. Inside Out 12. Sad Theresa

Ozzy Osbourne - No more tears


1. Ozzy Osbourne - Mr. Tinkertrain (5:56) 2. Ozzy Osbourne - I don't want to change the world (4:05) 3. Ozzy Osbourne - Mama,I'm coming home (4:11) 4. Ozzy Osbourne - Desire (5:45) 5. Ozzy Osbourne - S.I.N (4:46) 6. Ozzy Osbourne - Sellraiser (4:52) 7. Ozzy Osbourne - Time after time (4:20) 8. Ozzy Osbourne - Zombie stomp (6:13) 9. Ozzy Osbourne - A.V.H (4:12) 10. Ozzy Osbourne - Road to nowhere (5:12)

Beck, Bogert & Appice - Selftitled (Brilliant Album UK 1973)


JEFF BECK อดีตหนึ่งในคณะ The Yardbirds หนึ่งใน 4 เทพเจ้าองค์สำคัญในโลกของกีตาร์ มือกีตาร์ที่มีผลงานออกมาค่อนข้างน้อย(น้อยสำหรับผมนะ) มือกีตาร์ที่ไม่ชอบทำตัวเด่นจัดงานประกวดมือกีตาร์หรือทำนิตยสารกีตาร์ มือกีตาร์ที่มีลูกเล่นเทคนิคน่าทึ่งในการเล่น เขาคือ JEFF BECK -------------------------------------------------------------------------------- ประวัติ... Jeff Beck เกิดเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ปี 1944 ในประเทศอังกฤษ. แค่อายุเพียง 11 ปี เบ็คก็สามารถที่จะเล่น Paino และGuitar ได้เป็นอย่างดี เบ็คโชคดีที่มารดาเขาสนับสนุนในการเรียน-เล่นดนตรี มารดาเขาบังคับให้เขาเรียนดนตรีตั้งแต่เขายังเด็ก โดยเบื้องต้นที่มารดาเขาให้เรียนดนตรีนั่นคือ เปียโน ซึ่งทำให้Beckมีพื้นฐานทางดนตรีที่ดี วงดนตรีแรกของเบ็คชื่อว่าวง Tridents และต่อมาเบ็คก็ได้เข้ามาเล่นกับวงดนตรีต่างๆมากมาย วงหนึ่งที่เรารู้จักกันดี คือ The Yardbirds ประวัติของJeff Beckค่อนข้างจะหาอ่านได้ยาก เพราะเขามักไม่ค่อยให้สัมภาษณ์อะไรมากนัก เขาเป็นมือกีตาร์ที่ไม่ค่อยมีข่าวออกมาให้เราพบอยู่บ่อยๆ เหมือนนักกีตาร์บางคน แต่กระนั้นผลงานและฝีมือการชำเรากีตาร์ของเขาก็ยังมีความเป็นตำนาน ให้เราศึกษาค้นคว้าอยู่ดี...

01. "Black Cat Moan" (Don Nix) – 3:4402. "Lady" (Carmine Appice/Jeff Beck/Tim Bogert/Bogert, J./Paul French/Duane Hitchings) – 5:3303. "Oh To Love You" (Carmine Appice/Jeff Beck/Tim Bogert/Bogert, J./Paul French/Duane Hitchings) – 4:0405. "Superstition" (Stevie Wonder) – 4:1506. "Sweet Sweet Surrender" (Don Nix) – 3:5907. "Why Should I Care" (Kennedy, R.) – 3:3108. "Lose Myself With You" (Carmine Appice/Jeff Beck/Tim Bogert/Bogert, J./Paul French) – 3:1609. "Livin' Alone" (Carmine Appice/Jeff Beck/Tim Bogert/Bogert, J.) – 4:1110. "I"m So Proud" (Curtis Mayfield) – 4:12

วันเสาร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2551

Deep Purple - Perfect Strangers (1984)


1. Knocking at Your Back door2. Under the Gun3. Nobody's Home4. Mean Streak5. Perfect Strangers6. A Gypsy's Kiss7. Wasted Sunsets8. Hungry Daze9. Not Responsible

วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2551

The Doors - The Doors (1st Album US 1967)

01. "Break on Through (To the Other Side)" – 2:30
02. "Soul Kitchen" – 3:35
03. "The Crystal Ship" – 2:34
04. "Twentieth Century Fox" – 2:33
05. "Alabama Song (Whiskey Bar)" (Bertolt Brecht, Kurt Weill) – 3:20
06. "Light My Fire" – 7:08
07. "Back Door Man" (Willie Dixon) – 3:34
08. "I Looked at You" – 2:22
09. "End of the Night" – 2:52
10. "Take It as It Comes" – 2:18
11. "The End" – 11:44
12. "Moonlight Drive" (recorded 1966, version 1)
13. "Moonlight Drive" (recorded 1966, version 2)
14. "Indian Summer" (recorded August 19, 1966, vocal, this track would later appear on the album Morrison Hotel)

Fairport Convention - Unhalfbricking (Good UK Folkrock 1969)



01. "Genesis Hall" (Richard Thompson) – 3:41

02. "Si Tu Dois Partir" (Bob Dylan) – 2:25

03. "Autopsy" (Sandy Denny) – 4:27

04. "A Sailor's Life" (Traditional, arr. by Sandy Denny/Richard Thompson/Simon Nicol/Ashley Hutchings/Martin Lamble) – 11:20

05. "Cajun Woman" (Richard Thompson) – 2:45

06. "Who Knows Where the Time Goes?" (Sandy Denny) – 5:13

07. "Percy's Song" (Bob Dylan) – 6:55

08. "Million Dollar Bash" (Bob Dylan) – 2:56CD Bonus tracks

09. "Dear Landlord" * (Bob Dylan)
10. "Ballad of Easy Rider" * (Bob Dylan/Roger McGuinn)

วันอังคารที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2551

JUDAS PRIEST - PAINKILLER


วงดนตรี Heavy Metal ที่ถือว่าเป็นแม่แบบให้กับวงรุ่นหลังๆ ที่เราไม่สามารถมองข้ามไปได้ก็คือ Judas Priest เสียงร้องของ Rob Halford และ Twin Lead ของ K.K. Downing & Glen Tipton นั้นนับว่าสร้างขุนพล Metal รุ่นหลังๆ ได้อย่างมหาศาลเลย เอาล่ะ... เรามาศึกษากันว่า Judas Priest นั้นยิ่งใหญ่ขนาดไหน... Judas Priest นั้นก่อตั้งกันตั้งแต่ปี 1968 แถวๆ Birmingham ประเทศอังกฤษ โดยที่มี K.K. Downing และ Ian Hill มือกีตาร์และมือเบสเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง ทั้งคู่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เล็กๆ ทั้งคู่ได้ตั้งชื่อวงว่า Judas Priest หลังจากที่ได้ฟังงานของ Bob Dylan ในเพลง The Ballad of Franky Lee and Judas Priest และก็มี Alan Atkins มาร้องนำให้ รวมไปถึง Alan Moore ที่ตีกลอง ในช่วงแรกๆ Judas Priest ยังเล่นเพลงแนว Blues Rock ของวง Cream, Hendrix และ The Yardbirds ต่อมาเมื่อ Alan Atkins และ Alan Moore ลาออกไปเนื่องจากปัญหาเกี่ยวกับการเงินต่างๆ ในปี 1974 Ian Hill ได้ไปเดทกะสาวน้อยนางนึงซึ่งสาวน้อยนางนี้ก็มีพี่ชายอีกคนที่เป็นเจ้าหน้าที่ประจำโรงหนังนั่นก็คือ Rob Halford นั่นแหละ ต่อมาก็ได้คุยๆ กันแล้วถูกใจกับเสียงร้องสุดโหดของ Halford เข้าก็เลยชักชวนกันมาร่วมวงกัน ไม่นานหลังจากที่ได้ Halford มาร่วมวงก็ไปเจอ John Hinch จากวง Hiroshima ก็ชวนมารวมตัวกันเต็มรูปแบบ ทั้งหมดซุ่มฝึกซ้อมและออกคอนเสิร์ทตามละแวกบ้าน พอสะสมเงินทองได้พอสมควรก็ออกเดินสายที่นอร์เวย์และเยอรมัน หลังจากที่กลับจากการตะเวนทัวร์ยุโรปแล้วทางวงก็มีความคิดที่จะออกอัลบั้มเสียที แต่ Sound ก็ยังไม่ลงตัว K.K. Downing ก็เลยไปชักชวนเพื่อนเก่าอีกคนนามว่า Glen Tipton จากวง Flying Hat Band มาร่วมอีกคน เมื่อขุมกำลังครบทั้งหมดก็เดินเข้าห้องอัดและเริ่มต้นทำงานกันอย่างหนัก ในที่สุดอัลบั้ม Rocka Rolla ก็ออกวางตลาดโดยที่มีปัญหาเกี่ยวกับการบันทุกเสียงนิดหน่อยแต่ก็หยวนๆ ได้ หลังจากนั้น Judas Priest ก็ทยอยออกอัลบั้มมาเรื่อยๆ จนกระทั่งในปี 1978 Hell Bent For Leather ก็ออกวางจำหน่าย อัลบั้มนี้ถือว่าเป็นต้นแบบของ New Wave of British Heavy Metal อีกอัลบั้มนึงเลยนะ ซึ่งวงหน้าใหม่ที่ออกอัลบั้มในช่วงนั้นก็พวก Diamond Head, Iron Maiden หรือแม้กระทั่งวงจากอเมริกาที่ดังเป็นพลุแตก Van Halen ในชุดนี้ Judas Priest ก็ได้มือกลองคนใหม่มาแทน Alan Moore ก็คือ Les Blink ที่เป็นนักดนตรีห้องอัดที่มีฝีไม้ลายมือพอตัวแต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความดุดันของ Judas Priest ได้ หลังจากนั้นในปี 1979 Dave Holland ก็เข้ามาแทน ซึ่งก็ไม่ทำให้ผิดหวัง Dave Holland ตีกลองได้ดุดันสมใจเลยทีนี้... ข้ามมาปี 1990 ในช่วงหน้าร้อน Judas Priest ก็สร้างประวัติศาสตร์ของวงการดนตรีขึ้นเมื่อทางวงถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุให้เด็กวัยรุ่นสองพระหน่อซดเหล้าและดูดกัญชาจนได้ที่ก็เอาปืนยิงกบาลตัวเองตายมันซะอย่างงั้นเนื่องจากฟังเพลง Better by you, Better than me ซึ่งมีคำว่า Do It แอบบรรจุไว้ในเพลงด้วย ซึ่งเหคุการณ์นี้คงจะเกิดกับคนไทยได้ยากเนื่องจากแปลไม่ออก อิอิ... เหตุการณ์ช่วงนี้ข้ามไปเลยก็แล้วกันนะ แต่ถ้าสนใจจะศึกษาจริงๆ ก็ตามไปศึกษากันต่อได้ที่ http://video.google.com/videoplay?docid=-5636910946432086857 ปีต่อมาหลังจากเสร็จสิ้นทัวร์ Painkiller ในปี 1992 Rob Halford ก็ลาออกจากวงไปแล้วไปแอบตั้งวง Fight แทย ทางวงก็ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจซักเท่าไหร่นัก แต่ก็พยายามหานักร้องนำคนใหม่ ซึ่งก็คือ Tim "reaper" Owens ซึ่งการได้นักร้องนำคนนี้มาจากไหน? Tim เคยทำวง Tribute Band ของ Judas Priest มาด้วยนะ และที่น่าสนใจก็คือ เหตุการณ์ช่วงนี้ก็เป็นแรงบันดาลใจของภาพยนตร์เรื่อง Rock Star นั่นแล... ในปี 1998 Rob Halford ประกาศตนว่าเป็นเกย์... ดูๆ แล้วน่าจะเป็นเกย์คิงซะด้วย 555 หลังจากที่ลาออกมาเกือบๆ 12 ปี Rob Halford ก็กลับมารวมตัวกับ Judas Priest อีกครั้งท่ามกลางความเสียวก้นของสมาชิกในวง และในปี 2003 อดีตมือกลองของ Judas Priest ก็คือ Dave Holland โดนจับข้อหาตุ๋ยเด็กหนุ่มวัย 17 อะไรกันวะเนี่ย วงนี้แปลกๆ ถึงว่าชอบใส่เสื้อหนังตอกหมุด... เกร็ดเล็กๆ น้อยๆ - การเปิดตัวสู่สาธารณชนครั้งยิ่งใหญ่เป็นครั้งแรกของพวกเค้าก็คือคอนเสิร์ทปิดทัวร์ของ Led Zeppelin ในช่วงปี 1977 - ในปี 2002 องค์กรพิทักษ์สัตว์ PETA ได้ทำเรื่องร้องเรียนให้ Judas priest เลิกใส่เสื้อหนังซะ ยัง... ยังไม่พอ ยังมาขอให้เปลี่ยนชื่ออัลบัม Hell Bent for Leather ไปเป็น Hell Bent for Pleather มันซะอย่างงั้น - มีการนำเพลง You've got another thing comin' มาใช้กับเกม Guitar Hero ด้วย ซึ่งก็รวมไปถึงเกม Grand Theft Auto ก็เอาเพลง Electric Eyes มาใช้อีกต่างหาก - แรงบันดาลใจในการใช้ Twin Lead ของ Judas Priest นั้นได้มาจากวง Wishbone Ash - ชื่อเล่นของวงก็คือ 'Metal Gods' - ส่วนวงดนตรีที่ได้รับแรงบันดาลใจของ Judas Priest มานั้นก็มีเยอะ เช่น Iron Maiden, Anthrax, Accept, Mettalica, Death, Megadeth, Manowar, Merciful Fate, Venom, Slayer ฯลฯ

Yngwie Malmsteen - The Yngwie Malmsteen Collection


01-Black Star02-Far Beyond The Sun03-Illp See The Light, Tonight04-You Don't Remember, I´ll Never Forget05-Liar06-Queen In Love07-Hold On08-Heaven Tonight09-Déjá Bu10-Guitar Solo11-Spanish Castle Magic12-Judas13-Making Love14-Eclipse

The Who - Who's Greatest Hits


1. Substitute Listen2. The Seeker Listen3. Magic Bus Listen4. My Generation Listen5. Pinball Wizard Listen6. Happy Jack Listen7. Won't Get Fooled Again Listen8. My Wife Listen9. Squeeze Box Listen10.The Relay Listen11.5:15 Listen12. Love Reign O'er Me Listen13. Who Are You
http://www.filesend.net/download.php?f=492407c892a3f66c8c8d98a2198dfb08

Yngwie Malmsteen - Trilogy - 1986



เด็กหนุ่มชาวสวีเดน ทีได้รับอิทธิพลจากการได้ดู TV เรื่องการตายของ Jimi Hendrix ตอนอายุ 7 ขวบ ทำให้เขาเริ่มต้นจับกีตาร์ เขาเริ่มแกะเพลงของ Deep Purple อย่างจริงจัง และเมื่อเขาเห็นนักไวโอลินชาวรัสเซียเล่นผลงานของ Paganini เขาก็ได้รับแรงบันดาลที่จะนำเอาผลงานไวโอลินมาเล่นอยู่บนกีตาร์ และเขาก็เริ่มศึกษา Bach, Vivaldi, Beethoven และ Mozart เขาเริ่มเข้าวงการกับ Mike Varney ค่าย Shrapnel Records ที่ค้นพบ ความสามารถของเขาและเรียกให้เขาเข้ามาเล่น Solo ในวง Steeler และนี่คือจุดเริ่มของเขาคนนี้ เขาได้ย้ายไปอยู่วง Alcatrazz ( วงที่ Graham Bonnet นักร้องนำวง Rainbow ออกมาตั้ง ) แต่จุดหมายปลายทางของเขาก็คือ Solo Album และเขาก็ได้ออกชุดแรกชื่ออัลบั้มว่า Rising Force เป็นอัลบั้ม Neo Classic อัลบั้มแรก เป็นอัลบั้มบรรเลงที่ติดอันดับ Billboard และได้เสนอเข้าชิง Grammy Award สาขา Best Rock Instrumental Performance และเขายังได้รางวัลมากมายจากส่วนต่างๆ อย่าง Best New Talent หรือ Album of The Year และคำว่า Neo Classic Rock ก็ถูกบัญญัติขึ้น และเขายังออกอัลบั้ม Marching Out (1985), Trilogy (1986), Odyssey (1988), Trial By Fire (Live in Leningrad) (1989) (gold-selling concert video of Yngwie's 1989), Eclipse (1990), Fire & Ice (1992), The Seventh Sign (1994), Magnum Opus (1995), Inspiration (1996) ( อัลบั้มที่สร้างแรงบันดาลใจให้เขา Deep Purple, Rainbow, U.K., Kansas, Scorpions, Rush, and Jimi Hendrix), Facing the Animal (1997), Alchemy (1999), War to End All Wars (2000), Attack (2002), และอัลบั้มล่าสุด Unleash the Fury (2005) ในปี 1997 เขาทำงาน Concerto Suite for Electric Guitar and Orchestra in Eb Minor, Op. 1 พิสูจน์ความเป็นอัจฉริยะด้านนี้ของเขา ในปี 2003 เขาร่วมทัวร์กับ G3 ที่มี Steve Vai และ Joe Satriani และออก CD และ DVD กับ G3 ด้วย ในปี 2004 เขาได้เรียกพลัง จากจุดกำเนิดของเขาออกมาอีกครั้ง เพื่อทำอัลบั้ม Unleash The Fury ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมาก และแฟนๆ ของเขาก็ตอบรับกับ เจ้าพ่อ Neo Classic Rock คนเดิมที่มีพลังอย่างเปี่ยมล้นเหมือนอัลบั้มแรก Rising Force ที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขา และในปี 2005 เขาก็เริ่มออกทัวร์ที่ใช้ชื่อว่า “Unleash The Fury World Tour” จาก Europe, America จนถึง Asia และไป Australia เป็นทัวร์ที่ยาวนานถึง 2 ปี

Quicksand - Home is Where i Belong (Very Good UK Progressive 1973)



01. Hideaway My Song (3:11)02. Sunlight Brings Shadows (4:22)03. Empty Street Empty Heart (3:44)04. Overcome The Pattern (8:16)05. Time To Live (3:30)06. Home Is Where I Belong (4:58)07. Seasons - Alpha Omega (8:23)08. Hiding It All (4:13)09. Alpha Omega10. Hiding It All

White Lion - Anthology '83 - '89 - 2006


Disc: 1
1. Hungry
2. Lady of the Valley
3. Wait
4. All Join Our Hands
5. Tell Me
6. Say Goodbye
7. When the Children Cry
8. Little Fighter
9. If My Mind Is Evil
10. Living on the Edge
11. Cherokee
12. Cry for Freedom
13. How Does It Feel
14. Raod to Valhalla
15. Early Warning
Disc: 2
1. Lights and Thunder
2. Back on the Streets
3. Love Don't Come Easy
4. Out with the Boys
5. It's Over
6. You're All I Need
7. Broken Heart
8. Till Death Do Us Part
9. Farewell to You
10. Deep in Love with You
11. Two People
12. Rock You Tonight
13. Evil Angels
14. Ride Through the Storm
15. We Rock All Night
http://www.mediafire.com/?fnzt62uf06i

วันจันทร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2551

John Petrucci & Jordan Rudess - An Evening With


1. Furia Taurina
2. Truth
3. Fife And Drum
4. State of Grace
5. Hang 11
6. From Within
7. The Rena Song
8. In the Moment
9. Black Ice
10. Bite Of The Mosquito

วันเสาร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2551

Overkill - Killbox




มันส์สุดยอดเลยครับท่าน
128kbps - 47.1mb
01. Devil by the Tail.mp3
02. Damned .mp3
03. No Lights .mp3
04. The One .mp3
05. Crystal Clear .mp3
06. The Sound of Dying .mp3
07. Until I Die .mp3
08. Struck Down .mp3
09. Unholy .mp3
10. I Rise .mp3

Dokken - Lightning Strikes Again - 2008


ขอต้อนรับการกลับมาอีกครั้งของ คุณพี่ดอนกับอัลบั้มใหม่ล่าสุด
Faixas:
1. Standing On The Outside
2. Give Me A Reason
3. Heart Of Stone
4. Disease
5. How I Miss Your Smile
6. Oasis
7. Point Of No Return
8. I Remember
9. Judgment Day
10. It Means
11. Release Me
12. This Fire
Integrantes:
Don Dokken
Mick Brown

วันพุธที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2551

วิปลาส - วิกฤต...ศรัทธา เป็นวงใต้ดินที่ผมชอบมากๆ


คิดว่า คงมีไม่น้อยคนในที่นี้ที่รู้จักวงนี้กันแล้วตำนาน วิปลาสก่อตั้งวงประมาณปี 2534 โดยมีความชอบในดนตรี ที่หนักกว่า ดนตรีแนวเฮฟวี่ เมทัล ที่มีอยู่ดาษดื่น ทั่วไป จึงรวมตัวกันเพื่อเล่นเพลง Cover ของ Metallica เป็นหลัก ใช้เวลาซ้อมกันประมาณ 1 ปี โดยใช้ชื่อวงว่า "Zorodaster" ได้ลงเล่นประจำอยู่ที่ Roxxete Pup ซึ่งมีสมาชิกประกอบด้วย อุกกฤษฐ์ พิทักษ์ประชากิจ ตำหน่งกีตาร์ , ศรายุทธ์ จินดารมย์ ตำแหน่ง กีต้าร์, มานพ หนูน้อย ตำแหน่งเบส, วรายุทธ แซ่ฉัว ตำแหน่งกลอง และนักร้องนำ (แจ๊คกี้กับนิ้งหน่อง) ซึ่งภายหลังได้ออกไปด้วยเหตุผลส่วนตัวระหว่างที่เล่นประจำอยู่ที่ Roxxete Pub ก็ได้พบปะกับวง “ดอนผีบิน” ซึ่งจากการพูดคุยกัน มีความ คิดเห็นเกี่ยวกับดนตรีในทิศทางเดียวกัน คือการทวนกระแสธุรกิจดนตรีที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เพื่อยืนยันความมี อยู่จริงของพวกเรา จึงคิดที่จะทำดนตรีเป็นของตัวเอง ในแบบ Power Death Metal มีเนื้อร้องเป็นภาษาไทย และ เพื่อความเหมาะสม จึงเปลี่ยนชื่อวง จาก ZORO DASTER มาเป็น "วิปลาส" ซึ่งความหมายที่แท้จริง คือ ส่ิงที่คลาด เคลื่อนไปจากปรกติธรรมดา แต่ความรู้สึกของพวกเราในคำว่า “วิปลาส” หมายถึง สังคมเราล้วนผิดเพี้ยนกันหมด หรือไม่พวกเรานี่ แหล่ะที่ผิดเพี้ยนเอง
ชุดนี้ฟังดูเหมือนจะดาวน์ลง อาจเป็นเพราะเปลี่ยนคนร้องนำ เสียงร้องก็เลยต่างจากชุดแรก อย่างคนละขั้ว ชุดแรกจะเป็นการสำรอก แต่ชุดนี้จะเหมือนตะโกนซะส่วนใหญ่ แต่ก็ฟังได้เรื่อย ๆ ครับ ถ้าคิดตามความรู้สึกส่วนตัวก็ต้องบอกว่า ชุดนี้แนวเดียวกับดอนผีบินครับ.

30.22 MB 128 MB

1. วิปลาส - >วิญญาณ...มนุษย์ (3:51)

2. วิปลาส - >จิตนาธิปไตย (3:42)

3. วิปลาส - >ยุค...วิบัติ (3:44)

4. วิปลาส - >โคม่า (4:45)

5. วิปลาส - >สับสน... (3:53)

6. วิปลาส - เส้นทางศรัทธา#2 (1:41)

7. วิปลาส - >ปีศาจเศรษฐกิจ (3:20)

8. วิปลาส - >นิวเคลียร์ (4:21)

9. วิปลาส - >จุดจบ (4:23)

http://www.mediafire.com/?20nce6bajyd

JOHN DENVER- THE UNPLUGGED COLLECTION



มาฟังกันแบบเบาๆบ้าง

51.22 MB 128 KB

1. JOHN DENVER -01-TAKE ME HOME, COUNTRY (3:12)

2. JOHN DENVER - 02-ANNIE'S SONG (3:08)

3. JOHN DENVER - 03-PERHAPS LOVE (2:40)

4. JOHN DENVER - 04-DREAMLAND EXPRESS (3:12)

5. JOHN DENVER - 05-ROCKY MOUNTAIN HIGH (4:07)

6. JOHN DENVER - 06-SEASONS OF THE HEART (3:54)

7. JOHN DENVER - 07-WHISPERING JESSE (3:20)

8. JOHN DENVER - 08-FOR YOU (4:40)

9. JOHN DENVER - 09-WINDSONG (4:00)

10. JOHN DENVER - 10-LEAVING ON A JETPLANE (3:38)
11. JOHN DENVER - 11-I'M SORRY (3:23)

12. JOHN DENVER - 12-BACK HOME AGAIN (4:42)

13. JOHN DENVER - 13-SUNSHINE ON MY SHOULD (4:50)

14. JOHN DENVER - 14-THANK GOD I'M A COUNT (3:02)

15. JOHN DENVER - 15-CHRISTMAS FOR COWBOYS (2:10)

16. JOHN DENVER - 16-LOVE AGAIN (2:35)

Ozzy Osbourne - Blizzard Of Ozz

ไม่ต้องอธิบายอะไรมากครับสำหรับอัลบั้มชุดนี้
นี่เป็นอัลบั้มในดวงใจของใครหลายๆคนเลย
หลังจากแยกวงออกมาจาก black sabbaht ไอ้อ้วน ozzy ก็เริ่มเละเท๊ะการงานไม่ทำเอาแต่เล่นยาไปวันๆแด๊กเหล้าไม่ขาดช่วง ในช่วงปี 1978-ปลายๆปี 1979 Ozzy ใช้เวลาหมดไปกับเหล้า ยา และพิซซ่า เค้าได้ใช้จ่ายเงินจำนวนมหาศาลโดยการเหมาโรงแรมชั้นหนึ่งเป็นที่พัก และในช่วงกลางปี 1979 Ozzy ก็คิดอยากจะออกอัลบั้มเดี่ยว แต่ยังหามือกีต้าร์คู่ใจไม่ได้ วันนึง ขณะที่เค้ากำลังนั่งฟังเดโมเทปจากมือกีต้าร์จำนวนมาก Ozzy ก็พบว่า เสียงกีต้าร์จากเทปม้วนนึงโดนใจเค้ามั่กมาก จึงบอกให้ผู้จัดการส่วนตัวคือ Sharon ไปหามาว่าใครคือเจ้าของเสียงกีต้าร์นั้น และแล้ว Randy Rhoads หนุ่มน้อยจาก Santa Monica วัย 23 ปีจากวง Quiet Riot ก็เดินทางมาพบกัน อัลบั้ม Blizzard of Ozz ก็ออกวางจำหน่ายในเดือนมกราคมปี 1981 Ozzy ให้สัมภาษณ์ว่านี่คือมือกีต้าร์ที่ดีที่สุดในโลก Ozzy ได้รวบรวมนักดนตรีตามห้องอัดก็คือ Bob Daisley กับ Lee Kerslake มาเล่นเบสและกลองตามลำดับ และในช่วงเดือนมกราคมปี 1980 อัลบั้มเดี่ยวชุดแรกของ Ozzy ก็ออกมาจนได้ ในเดือนกันยายนปีเดียวกัน Ozzy ก็ออกทัวร์คอนเสิร์ทเป็นครั้งแรก ที่ Glasgow, Scotland และเหตุการณ์ที่สร้างให้ Ozzy เป็นตำนานที่เล่าขานไม่รู้จบก็เกิดขึ้นระหว่างทัวร์ Diary of the mad man ในปี 1981 ในคอนเสิร์ทที่ Des Moines, Iowa ก็มีใครก็ไม่รู้โยนค้างคาวเป็นๆ ขึ้นไปบนเวทีแล้วตาเฒ่านี่ก็นึกสนุกอะไรก็ไม่รู้ จับค้างคาวตัวขั้นแล้วกัดเข้าที่หัวแล้วเคี้ยว ปรากฏว่าไอ้ค้างคาวตัวนั้นเป็นของจริงก็เลยกัดเข้าที่ลิ้นของเฒ่า Ozzy มั่ง แต่ป๋า Ozzy ก็ไม่สนโลก ร้องเพลงจนจบคอนเสิร์ทจึงได้ไปโรงพยาบาลเพื่อฉีดยากันบาดทะยัก
*****และนี่คือการสร้างตำนานอันสั่นสะเทือนไปทั้งวงการ*****
อัลบั้มระดับตำนานสุดยอด และไม่พอแค่นั้นเจ้า ozzy ยังให้กำเนิดนักกีต้าร์ระดับเทพเจ้ามาประดับวงการอีกหนึ่งคนไม่บอกก็คงจะรู้นะครับว่าใคร ผมว่า VAN HALEN ยังเทียบไม่ได้เลยนะ
อัลบั้มนี้ต้องลองฟังเอาเองครับว่ามันยอดเยี่ยมขนาดไหน
ขอคาระวะให้สามจอกเลย
69.05 MB 256 KB
1. Ozzy Osbourne - I Don't Know (5:17) 2. Ozzy Osbourne - Crazy Train (4:55) 3. Ozzy Osbourne - Goodbye To Romance (5:35) 4. Ozzy Osbourne - Dee (0:50) 5. Ozzy Osbourne - Suicide Solution (4:19) 6. Ozzy Osbourne - Mr. Crowley (4:56) 7. Ozzy Osbourne - No Bone Movies (3:58) 8. Ozzy Osbourne - Revelation (Mother Earth) (6:09) 9. Ozzy Osbourne - Steal Away (The Night) (3:32)


VAN HALEN - VAN HALEN




นี่คืออัลบั้มที่ติดหนึ่งในสิบอัลบั้ม ROCK ที่ดีที่สุดในโลก
และเป็นครั้งแรกของโลกที่รู้จักลีลาการใช้นิ้วจิ้มกีต้าร์
1. VAN HALEN 01 - Runnin'' With The DeviL (3:33) 2. VAN HALEN 02 - ERUPTION (1:42) 3. VAN HALEN 03 - YOU REALLY GOT ME (2:36) 4. VAN HALEN 04 - AIN''T TALKIN'' ''BOUT LOVE (3:47) 5. VAN HALEN 05 - I''M THE ONE (3:44) 6. VAN HALEN 06 - JAMIE''S CRYIN'' (3:28) 7. VAN HALEN 07 - Atomic Punk (3:00) 8. VAN HALEN 08 - FEEL YOUR LOVE TONIGHT (3:40) 9. VAN HALEN 09 - LITTLE DREAMER (3:20) 10. VAN HALEN 10 - ICE CREAM MAN (3:17) 11. VAN HALEN 11 - On Fire (2:58)

วันอังคารที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2551

Cinderella - Once Upon A... - 1997


SHAKE ME

NOBODY'S FOOL

SOMEBODY SAVE ME

GYPSY ROAD

DON'T KNOW WHAT YOU'VE GOT TILL IT`S GONE

THE LAST MILE

COMING HOME

SHELTER ME

HEARTBREAK STATION

THE MORE THINGS HANGE

LOVE`S GOT ME DOIN`TIME

HOT AND BOTHERED

THROUGH THE RAIN

WAR STORIES

MOVE OVER

Eric Johnson - Venus Isle - 1996


นี่ก็เป็นอีกคนที่มีฝีมือเอกอุสุดยอด มีชั้นเชิงเมโลดี้สุดยอด ลองเอาไปฟังกันครับ
* Venus Isle
* Battle We Have Won
* All About You
* S.R.V.
* Lonely in the Night
* Manhattan
* Camel's Night Out
* Song for Lynette
* When the Sun Meets the Sky
* Pavilion
* Venus Reprise

Earth & Fire - Atlantis (Great Progrock From Holland 1973)




01. Maybe tomorrow, maybe tonight
02. Interlude

03. Fanfare

04. Theme from Atlantis

05. Love please close the door

วันจันทร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2551

Cacophony - Go Off ! - 1988

หลังจากสำเร็จความใคร่เอ๊ย ไม่ช่าย หลังจากประสบความสำเร็จอย่างท้วมท้นจากชุดแรกแล้ว
จะรออะไรอีกเล่าในเมื่อฝีมือมันล้นคอหอยอยู่แล้วก็เลยคลอดชุดนี้ตามมา
แต่ว่าสู้ชุดแรกไม่ได้ถึงแม้ชุดนี้ก็เยี่ยมเหมือนกันหยั่งว่าแหล่ะครับเมื่อชื่อเสียงมาอีโก้ก็ตามมาติดๆ
หลังจากออกชุดนี้แล้วทั้งสองคนก็เลยแยกวงกันทำมาหากินแต่อีกคนมันดันแย่งไปตายซะนี่
(โปรดสังเกตุที่หน้าปกดู ผมว่ามันจะแยกกันตั้งแต่ถ่ายรูปหน้าปกแล้วแถมชื่ออัลบั้มยังไม่เป็นมงคลอีก 555)

Cacophony - Speed Metal Symphony - 1987

ใครยังไม่เคยฟังเอาไปลองซะ แล้วจะรู้ว่าทำไมไอ้สองคนนี้มันเก่งโคตรๆ
คนด้านซ้ายคือเจ้ามาตี้ แห่งเมก้าเดธแต่คนขวามันเดธไปแล้วจริงๆคือ JASON BECKER
บอกได้คำเดียวว่าชุดนี้แม่งสุดยอดไปเลยพี่

วันเสาร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2551

Ace Frehley - Frehley's Comet - 1987


Tracklist:
1. Rock Soldiers
2. Breakout
3. Into The Night
4. Something Moved
5. We Got Your Rock
6. Love Me Right
7. Calling To You
8. Dolls
9. Stranger In A Strange Land
10. Fractured Too
Line-up:
Ace Frehley - Vocals/Lead Guitar
Tod Howarth - Vocals/Rhythm Guitar
John Regan - Bass/Back-up Vocals
Anton Fig - Drums

Mr. Big - Hey Man - 1996


1. Trapped in Toyland
2. Take Cover
3. Jane Doe
4. Goin' Where the Wind Blows
5. The Chain
6. Where Do I Fit In?
7. If That's What It Takes
8. Out of the Underground
9. Dancin' Right into the Flame
10. Mama D.
11. Fool Us Today
http://www.mediafire.com/?23xslgdnmnr

Motörhead - Ace Of Spades - 1980


Tracklist:
1-Ace of Spades
2-Love Me Like a Reptile
3-Shoot You in the Back
4-Live to Win
5-Fast and Loose
6-(We Are) The Road Crew
7-Fire Fire
8-Jailbait9-Dance
10-Bite the Bullet
11-The Chase Is Better Than the Catch
12-The Hammer
Line Up:
Lemmy: Vocal/BaixoPhil Taylor: BateriaEddie Clarke: Guitarra

วันศุกร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2551

Motörhead - Inferno - 2004 โคตรมันส์เลยครับท่าน


เอามาแจกแบบ 320KB เลยนะครับ
Line-up: นำโดยป๋าเรมมี่เจ้าเก่า
Lemmy Kilmister - Vocal/Bass
Phil Campbell - Lead Guitar
Mikkey Dee - Drums
Tracklist:
1. Terminal Show
2. Killers
3. In The Name Of Tragedy
4. Suicide
5. Life's A Bitch
6. Down On Me
7. In The Black
8. Fight
9. In The Year Of The Wolf
10. Keys To The Kingdom
11. Smiling Like A Killer
12. Whorehouse Blues
http://www.4shared.com/file/40402065/c218551b/2004_-_Inferno_-_Bruno_Ramone.html?dirPwdVerified=79928e58

Led Zeppelin - Houses of The Holy (Classic Rock Album 1973)


Track listing
01. "The Song Remains the Same" (Jimmy Page, Robert Plant) – 5:32
02. "The Rain Song" (Page, Plant) – 7:39
03. "Over the Hills and Far Away" (Page, Plant) – 4:50
04. "The Crunge" (John Bonham, John Paul Jones, Page, Plant) – 3:17
05. "Dancing Days" (Page, Plant) – 3:43
06. "D'yer Mak'er" (Page, Plant, Jones, Bonham) – 4:23
07. "No Quarter" (Page, Plant, Jones) – 7:00
08. "The Ocean" (Page, Plant, Jones, Bonham) – 4:31

วันพฤหัสบดีที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2551

Blue Cheer - Outsideinside (1969)


01. "Feathers from Your Tree" (Peterson, Stevens, Wagner) - 3:2902. "Sun Cycle" (Peterson, Stevens, Wagner) - 4:1203. "Just a Little Bit" (Peterson) - 3:2404. "Gypsy Ball" (Peterson, Stevens) - 2:5705. "Come and Get It" (Peterson, Stevens, Wagner) - 3:1306. "Satisfaction" (Jagger/Richards) - 5:0507. "The Hunter" (Booker T. Jones) - 4:2208. "Magnolia Caboose" (Peterson, Stevens) - 1:3809. "Babylon" (Peterson) - 4:22

Foghat - Energized (1974)


01. "Honey Hush" - 4:21
02. "Step Outside" - 6:56
03. "Golden Arrow" - 6:18
04. "Home in My Hand" - 4:03
05. "Wild Cherry" - 5:13
06. "That'll Be the Day" - 5:27
07. "Fly by Night" - 2:53
08. "Nothin' I Won't Do" - 4:47

Led Zeppelin - Led Zeppelin III (1970)




Track listing
01. "Immigrant Song" (Jimmy Page, Robert Plant) – 2:25
02. "Friends" (Page, Plant) – 3:54
03. "Celebration Day" (Page, Plant, John Paul Jones) – 3:29
04. "Since I've Been Loving You" (Page, Plant, Jones) – 7:23
05. "Out on the Tiles" (Page, Plant, John Bonham) – 4:08
06. "Gallows Pole" (trad. arr. Page, Plant) – 4:58
07. "Tangerine" (Page) – 3:12
08. "That's the Way" (Page, Plant) – 5:39
09. "Bron-Y-Aur Stomp" (Page, Plant, Jones) – 4:18
10. "Hats Off to (Roy) Harper" (traditional) – 3:42
http://www.zshare.net/download/45139567e6e7d2/

Led Zeppelin - Led Zeppelin IV (Classic Album 1971)












Size: 88.4 MB
Bitrate: 256
24-Bit Remaste
01. "Black Dog" (Page/Plant/Jones) – 4:55

02. "Rock and Roll" (Page/Plant/Jones/Bonham) – 3:40

03. "The Battle of Evermore" (Page/Plant) – 5:38


04. "Stairway to Heaven" (Page/Plant) – 8:01


05. "Misty Mountain Hop" (Page/Plant/Jones) – 4:39


06. "Four Sticks" (Page/Plant) – 4:49


07. "Going to California" (Page/Plant) – 3:36


08. "When the Levee Breaks" (Page/Plant/Jones/Bonham/Memphis Minnie) – 7:08